ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นบ้านเรา เละ!! พอสมควรเลย...จึงเริ่มเกิดกระแสคำถามที่ว่า...
….SET จะเป็นขาลงเต็มตัวกันแล้วหรืออย่างไร…
คำตอบง่ายๆครับ...
...ไม่รู้หรอกครับ...
...หุ้นอาจจะดีดกลับไปทดสอบ High เดิมที่บริเวณ 1050 จุด อีกครั้ง หรือดิ่งดับหลุด 1000 จุด แบบถาวร ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น...
...แน่นอนที่สุดคือ...ยามที่หุ้นดิ่ง 2-3 วันติด แบบแรงๆเช่นนี้นั้น...ย่อมมีอาการที่เรียกว่า “จิตตก” หรือที่ผมชอบเรียกว่า “นอยด์แด๊ก” เกิดขึ้นในหมู่นักลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
“ชาวดอย”
...กลุ่มนี้แหล่ะครับ...จะแสดงอาการชัดเจนที่สุดว่า รับไม่ได้กับการทิ้งลงแรงๆของตลาดหุ้น....ไม่มีใครรับได้หรอกครับ ไม่ว่าจะรายใหญ่หรือรายย่อย ไม่ว่าจะเป็นโบรกเกอร์หรือพอร์ทโบรกเกอร์ หรือแม้กระทั่งกองทุน...ไม่มีใครอยากเห็นหุ้นร่วงแรงๆติดๆกัน 2-3 วันหรอกครับ
ใครมันจะไปอยากเห็นหุ้นขาลง!!
...ทำไม?...
ถ้าในแง่ของโบรกเกอร์...แน่นอนครับว่ารายได้จากค่าคอมมิชชั่น จากวอลุ่มซื้อขายนั้น ย่อมลดลงอย่างแน่นอน เนื่องจากลูกค้าของบริษัท ต่างติดดอย ติดหุ้น ไม่กล้าขาย...ที่สำคัญคือ...เมื่อเงินมันอยู่ในหุ้นหมดแล้ว ลูกค้าเหล่านี้ก็ไม่คิดที่จะซื้อขายเป็นระยะเวลาพอสมควร...รายได้หดกันเห็นๆ
พอโบรกเกอร์มีปัญหา...คนที่จะซวยที่สุดก็จะเป็นมาร์เก็ตติ้ง หรือคนรู้ใจทางด้านการลงทุนของคุณๆทั้งหลายนี่แหล่ะครับ...ถ้าวอลุ่มหด ก็ซวยเลย ใครไม่เจ๋งพอ ลูกค้าไม่ซื้อขายบ่อยๆ มาเจอตลาดขาลงหรือซึมๆหลังจากทิ้งดิ่งแรงๆ..เดือนนั้นคือหายนะ!! มีสทธิ์โดนจับตามองได้จากบริษัท วอลุ่มไม่ถึงเกณฑ์บ่อยๆ....เด้ง!! ตกงาน! น่าเห็นใจครับ
สำหรับกองทุน...ใช่ว่าจะกำไรทุกกองทุนน่ะครับ โดยเฉพาะในตลาดขาลง เห็นๆกันอยู่ว่าผลตอบแทนติดลบกันก็มี ดูได้จากอดีตที่ผ่านมา
ที่เจ็บยิ่งกว่าก็คือ...ตอนกำไรลูกค้าของทั้งกองทุนและโบรกเกอร์ ก็กำไรสบายใจ ส่วนใหญ่มักจะไม่เคยคิดขอบคุณกองทุนและโบรกเกอร์ที่ช่วยดูแล...แต่ยามขาดทุน เจ๊งบ๊ง! พวกพี่เล่นด่ากราด โทษนู่นโทษนี่ เพราะคิดว่าทั้งกองทุน และโบรกเกอร์คือตัวการใหญ่ ที่ทำให้นักลงทุนรายย่อยเจ๊งกัน...
เพราะความลุ่มหลงที่คิดว่า...
“ข้าคือสุดยอดเทรดเดอร์
ข้าคือ The Best
ซื้อเป็นขึ้น ขายเป็นลง”
...ยินดีด้วยครับ...
...คุณติดกับดักชิ้นใหญ่ และเตรียมเป็นเหยื่ออันโอชะได้เลย!
เพราะอีโก้ที่ติดตัวอันนี้นี่แหล่ะครับ มันจะทิ่มแทงคุณอย่างเจ็บปวดทีเดียว ในยามที่หุ้นเป็นขาลงแรงๆ
โดยเฉพาะช่วงนี้...ที่เป็นกระแสวิพากษ์วิขารณ์ตามเว็บต่างๆก็คือ...
“..ทำไมกองทุนและพอร์ทโบรกเกอร์ ไม่ช่วยกันดันตลาด ซื้อพยุงไม่ให้ SET ลงจากแรงขายถล่มทลายของฝรั่งทั้งหัวดำและหัวทอง...”
สำหรับผมแล้ว ในฐานะที่เคยผ่านการลงทุนในรูปแบบของนักลงทุนรายย่อย มาร์เก็ตติ้งหุ้นและฟิวเจอร์ จนกระทั่งมาเป็น Prop. Trade หรือพอร์ทโบรกเกอร์นั้น ย่อมเข้าใจความรู้สึกของทุกๆฝ่ายครับ...(แต่ไม่เข้าใจกองทุนกับฝรั่งน่ะ ยังไม่เคยบริหารพอร์ท)
ผมคงไม่สามารถออกความเห็นเรื่องนี้ได้มากมายนักครับ มันเกี่ยวข้องกับสายอาชีพผมด้วย...แต่ที่อยากจะบอกและอยากจะให้ลองคิดอีกแง่น่ะครับว่า..
SET ขึ้นมาจากจุดต่ำสุดที่ 380 มาถึง 1150 จุดเนี่ยะ..ก็ประมาณ 260%...ไม่มีใครชมฝรั่ง กองทุน หรือแม้กระทั่งพอร์ทโบรกเกอร์เลย...แต่พอถึงคราวหุ้นลง 2-4% รอบนี้จาก 1050 มาบริเวณ 1000 จุด....3 กลุ่มนี้ โดนด่าลั่นทุ่ง...(แอบน้อยใจ T__T หุหุ)
แล้วทำไมกองทุนกับพอร์ทโบรกเกอร์ ถึงไม่ช่วยกันพยุง?
คิดแง่ๆน่ะครับ...สมมติคุณมีวงเงินใหญ่มากๆ ที่ 5 พันล้านบาท...แต่คุณรู้ว่ารายใหญ่ที่คุมตลาดได้มี 5 หมืนล้านบาท แล้วคาดเดาว่า รอบนี้รายใหญ่จะขายประมาณ 2 หมื่นล้านบาท...คุณจะบ้าไปรับของที่เค้าจะขายหรือไม่...ทำไมไม่รอให้เฮียแกขายเรื่อยๆ จนสะเด็ดน้ำ แล้วไปซื้อต่ำๆ จะดีกว่ามั๊ย?
คิดดูน่ะครับ..เป็นคุณจะไปรับมีดช้อนซื้อในสภาวะที่ตลาดไม่แน่นอนหรืออย่างไร..
อย่าลืมน่ะครับว่า
ตลาดหุ้นก็เปรียบได้ดั่งชีวิต
ย่อมมีขึ้น มีลง ตามสภาวะและจังหวะของมัน
ดังนั้นแล้วเนี่ยะ การที่คุณๆทั้งหลาย คิดจะเอาแต่ให้หุ้น “ขึ้น” อย่างเดียวไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่มีการขาย การปรับฐานเลยเนี่ยะ...
อย่าลงทุนในหุ้นเลยดีกว่าครับ
ความคิดแบบนี้...ค่อนข้างเห็นแก่ตัวเอง คิดแต่ได้อย่างเดียวไปหน่อย..ตลาดหุ้นน่ะครับ ไม่ใช่ตลาดสด จะมาต่อรอง เรียกร้องอะไร ก็คงไม่ได้...เพราะมันคือตลาดการลงทุน ที่มีผลประโยชน์เป็นเดิมพัน...ผลประโยชน์มหาศาล!! คุณไม่ได้ก็ต้องเสีย...แค่นั้นเอง...ต้องเข้าใจสัจธรรมข้อนี้
นักลงทุนทั่วไป...ไม่ใช่ว่าจะเจ๊งทุกคน..คุณเจ๊ง..เพื่อนคุณได้...คนรู้จักคุณหมดตัว..คนที่คุณไม่รู้จักก็รวยได้เช่นกัน เพียงแต่คนที่ได้กำไร จะไม่ค่อยออกมาพูดอะไร...ก็กำไรนิ เอาเงินไปเที่ยวดีกว่า..ถูกมั๊ยครับ
ส่วนคนที่ขาดทุนนั้น..ช่วงนี้แหล่ะครับเป็นช่วงที่ดีที่สุด ที่เราจะต้องคิดว่า...เพราะอะไรเราถึงขาดทุน ทำไมเพื่อนเรากำไรหรือเอาตัวรอด พอร์ทไม่เจ๊งได้..ทั้งๆที่ซื้อหุ้นตัวเดียวกันกับเรา ทำไมเพื่อนหนีทัน เรามัวทำอะไรอยู่...
ถ้าคุณหาข้อนี้เจอ..แล้วแก้ไขมันได้..ใครก็เอาเงินคุณไปไม่ได้หรอกครับ..
ดังนั้นแล้ว...
อย่าโทษคนอื่น โทษตัวเองให้มากที่สุด
แล้วแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำซ้อน
สำหรับตลาดที่ลงมาอาทิตย์ที่แล้วนั้น...
ถ้าคนที่เล่นแนว Technical แบบมีวินัยสุดๆ เอาแค่กราฟที่ใช้กันทั่วๆไป...SET ส่งสัญญาณถอยหนีรอบนี้ บริเวณ 1030-1035 จุดน่ะครับ...ถ้าเชื่อกราฟ ยังไงก็ต้องถอย ไม่มีของในมือ ยกเว้นว่าหุ้นที่คุณถือจะเป็นหุ้นเล็กสวนตลาด...ส่วนหุ้นใหญ่ ยังไงก็ต้องลงตามเทรนด์ตลาดภาพรวม..ยกเว้น PTT ที่แกร่งจริงๆ อันนี้ก็ยินดีกับคนที่มี PTT น่ะครับ
ถ้าเป็นคนเล่นแนว VI ก็ไม่ต้องซีเรียส เพราะหุ้นที่คุณซื้อ ก็คือหุ้นที่คุณไม่คิดจะขายอยู่แล้ว...เพราะคติของ VI ก็คือ หุ้นจะขึ้นหรือลงในระยะสั้น เค้าเหล่านั้น ย่อมไม่หวั่นใจ...ยิ่งลงยิ่งชอบ จะได้ซื้อของถูก (จริงมั๊ยครับป๋าแพท หุหุ)
แต่ถ้าคุณยังไม่รู้ว่าคุณเป็นนักลงทุนแนวใด...หาตัวตนคุณให้เจอก่อนลงสนามจะดีที่สุดครับ...ไม่งั้นเหนื่อยแน่นอน..คุณต้องรู้ก่อนว่าคุณเป็นนักวิ่งระยะใด..สั้น กลาง หรือยาว...ถ้าคุณรู้ คุณก็ได้เปรียบนักวิ่งสมัครเล่นแน่นอน ที่สำคัญคือ ความตั้งใจและความมุ่งมั่นครับ...
..คุณคิดว่าใครจะชนะ...
...ระหว่างคนที่ผ่านการฝึกฝน ผ่านสนามแข่งมาแทบทุกประเภท และทุ่มเทกับการเทรด การลงทุน แบบที่เรียกว่า “นั่งติดหน้าจอ” ทั้งวัน นั่งเฝ้าดูหุ้นที่ถนัด จับอารมณ์ของตลาดได้...คนแบบนี้ ยังไงก็ไม่เจ๊ง ถึงโดนก็โดนไม่มาก เพราะเค้าเหล่านี้ เคยผ่านมาแล้ว ประสบการณ์มันสอนคนครับ...
...กับ...
...คนที่รู้นิดหน่อยๆ ผ่านสนามมายังไม่ถึงครึ่งสนามเลย และใช้เวลาฝึกฝนการเทรดแทบจะนับชั่วโมงได้ แถมนั่งดูตลาดแค่ไม่กี่นาที ก็ไปเที่ยว ไม่ก็ทำงานประจำที่ตนเองทำอยู่ (กลุ่มนี้แนะนำให้เป็น VI น่ะครับ) อยากรู้อะไร ก็โทรถามมาร์...แต่ไม่ได้เห็นการเล่นวันด้วยตนเอง...เหนื่อยน่ะครับ ถ้าอยากจะอยู่รอดในตลาดหุ้น
ยังไงซะคนที่มีวินัย ผ่านการเทรดมาโชกโชน เจ็บแล้วจำ นำมาเป็นบทเรียน..ยังไงก็ย่อมจะได้เปรียบกว่าแน่นอน..
ทิ้งท้ายอีกนิดน่ะครับ...
ช่วงตลาดเป็นขาขึ้น...ทุกคนก็ล้วนแต่หวังกำไร...ลงทุนกันยกใหญ่...ตลาดคึกครื้น...ได้กำไรกันถ้วนหน้า
พอดัชนีเริ่มลง..พากันตกใจกลัว...หารู้สัจธรรมไม่...หุ้นขึ้น ก็ต้องมีลง....หากดัชนีขึ้นไปต่อเนื่องอยู่ตลอด...นั่นคือราคาหุ้นโดยเฉลี่ยสูงขึ้นเรื่อยๆ......มันก็ต้องลงบ้าง (ปรับฐาน)...หาไม่ SET ก็ขึ้นถึง 2000 จุด พันภายใน 3 เดือนนะซิ...จริงมั๊ยครับ...ซึ่งมันขัดกับหลักความเป็นจริงของตลาดหุ้น
การลงทุน...ควรมองการลงทุนระยะยาว อย่างน้อยก็ระยะ 1-2 เดือน...จนถึง 1-3 ปี ตามรอบหรือการเติบโตของหุ้น..หากดัชนี ลดมาบ้าง ก็อย่าตกใจมาก...
ที่สำคัญคือหากพื้นฐานบริษัทไม่เปลี่ยน...เศรษฐกิจในประเทศไม่ได้เลวร้าย...นอกประเทศก็พอไปได้...การเมืองก็พอไหว......อย่างนี้ก็ไม่ควรจะไปวิตกอะไรมาก...ปล่อยไปสักระยะ...ก็กลับมาเป็นปกติ
หากไม่โลภจนเกินไป....กำไรเฉลี่ยปีละ 10-15 % ก็น่าจะโอเคแล้วนะครับ....แต่หากโลภกว่านี้ก็ต้องใช้ฝีมือ...และยอมรับความเสี่ยงกันเอาเอง...ก็แค่นั้น...เลือกเอาตามนิสัยแต่ละคน...
พอดัชนีเริ่มลง..พากันตกใจกลัว...หารู้สัจธรรมไม่...หุ้นขึ้น ก็ต้องมีลง....หากดัชนีขึ้นไปต่อเนื่องอยู่ตลอด...นั่นคือราคาหุ้นโดยเฉลี่ยสูงขึ้นเรื่อยๆ......มันก็ต้องลงบ้าง (ปรับฐาน)...หาไม่ SET ก็ขึ้นถึง 2000 จุด พันภายใน 3 เดือนนะซิ...จริงมั๊ยครับ...ซึ่งมันขัดกับหลักความเป็นจริงของตลาดหุ้น
การลงทุน...ควรมองการลงทุนระยะยาว อย่างน้อยก็ระยะ 1-2 เดือน...จนถึง 1-3 ปี ตามรอบหรือการเติบโตของหุ้น..หากดัชนี ลดมาบ้าง ก็อย่าตกใจมาก...
ที่สำคัญคือหากพื้นฐานบริษัทไม่เปลี่ยน...เศรษฐกิจในประเทศไม่ได้เลวร้าย...นอกประเทศก็พอไปได้...การเมืองก็พอไหว......อย่างนี้ก็ไม่ควรจะไปวิตกอะไรมาก...ปล่อยไปสักระยะ...ก็กลับมาเป็นปกติ
หากไม่โลภจนเกินไป....กำไรเฉลี่ยปีละ 10-15 % ก็น่าจะโอเคแล้วนะครับ....แต่หากโลภกว่านี้ก็ต้องใช้ฝีมือ...และยอมรับความเสี่ยงกันเอาเอง...ก็แค่นั้น...เลือกเอาตามนิสัยแต่ละคน...
ที่สำคัญคือลงทุนโดยใช้สติ...ใช้อารมณ์ให้น้อยที่สุด
โชคดีครับ
Wizard Kid (พีร์ บุญชนะวิวัฒน์)
เห็นด้วยครับ ชีวิตยังมีขึ้นมีลง นับประสาอะไรกับตลาดหุ้นเนอะ
ReplyDelete