"7 เทคนิค ฟันกำไร หุ้นเดย์เทรด"

"7 เทคนิค ฟันกำไร หุ้นเดย์เทรด"
ติดตามความเคลื่อนไหวของหนังสือ "7 เทคนิค ฟันกำไร หุ้นเดย์เทรด" คลิ๊กโลดครับ

Friday, December 31, 2010

HAPPY NEW YEAR 2011!!


ขอลาที...ปีเก่าเรา...แสนเศร้าโศก...
ความอับโชค...ที่เข้ามา...กับราศี...
อีกเภกภัย...ไข้ทำร้าย...ประจำมี... 
ในชีวี...จงสลาย...มลายพลัน...

สวัสดี...ปีใหม่ไทย...ขอให้สุข...
หมดสิ้นทุกข์...ในกายจิต...มิผิดผัน... 
อายุมั่น...มิ่งขวัญยืน...สี่หมื่นวัน... 
มีผิวพรรณ...ที่ผ่องนวล...เย้ายวนชม...

ปรารถนา...กองเงินทอง...กองท่วมฟ้า... 
ทำการค้า...ให้ร่ำรวย...ไปสวยสม... 
มียศศักดิ์...ที่รักใคร...ใคร่ภิรมย์... 
ขอให้รัก...กลมเกลียวกัน...มั่นคงเอย...

ลาทีปีเก่า 2553 และขอสวัสดีปีใหม่ 2554 แก่มิตรสหายนักลงทุนทุกท่านน่ะคร้าบบบบบบบ

....ปีใหม่ทั้งที...ก็เปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่ดีขึ้นกว่าเดิม เงินทองได้มา ก็จงทำบุญเผื่อแผ่ผู้ที่ด้อยโอกาสกว่าเราน่ะครับ...
ยิ่งให้ ยิ่งได้...!! เงินทองมีแล้ว...สุขภาพยิ่งต้องดีกว่าเดิม
อย่าลืมรักษาสุขภาพด้วยน่ะครับ...ที่สำคัญ
อย่าลืมคนที่เรารัก และต้องรักคนที่รักเราให้มากยิ่งกว่าน่ะครับ 
พ่อ แม่ พี่น้อง ครอบครัว คนรัก เพื่อนฝูง คือคนสำคัญในชีิวิต...รักตัวเองให้น้อยลงอีกนิด แล้วใส่ใจคนอื่นให้มากขึ้นอีกหน่อย...
ชีวิตเราจะมีแต่ความสุขและความเจริญครับผม ^_____^

รักน่ะ...จุ๊บๆๆ อิอิ

Wizard Kid (พีร์ บุญชนะวิวัฒน์)

Wednesday, December 15, 2010

"หัวใจเศรษฐี" เรื่องดีๆ ที่คุณต้องรู้

วันนี้มาดูบทความดีๆ มีประโยชน์กันน่ะครับ..แนะนำให้อ่านแล้วพิมพ์ออกมาติดที่โต๊ะทำงาน หัวเตียง หรือตรงไหนก็ได้ ที่สะดวกต่อการอ่านน่ะครับ ^___^




วันเสาร์สบายๆวันนี้มาคุยกันเรื่อง "หัวใจเศรษฐี"  กันสักวันนะครับ ในความฝันลึกๆของเราทุกคน ต่างก็อยากเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีกันทั้งนั้น แต่จะทำอย่างไรจึงจะร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีได้นี่สิเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เรื่องนี้ ท่าน ว.วชิรเมธี   ได้เขียนไว้ในหนังสือ "เคล็ดลับหัวใจเศรษฐี" โดยตั้งราคาขายแค่เล่มละ 59 บาทเท่านั้นเอง

จะร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี ได้ ท่าน ว. บอกว่า ต้องมี "หัวใจเศรษฐี"

หัวใจเศรษฐี ก็คือ หลักธรรมที่นำไปสู่จุดหมายนั่นเอง จะทำอะไรก็สำเร็จ ไม่ว่าจะเป็น นักเรียน นักศึกษา พ่อค้าแม่ค้า พนักงานบริษัท นักธุรกิจ นักการเมือง ถ้านำหัวใจเศรษฐีนี้ไปปรับใช้กับชีวิตก็รับประกันได้ถึงความสำเร็จ

หัวใจ เศรษฐีมีอยู่ 4 ประการ คือ
1. อุ มาจาก อุฏฐานสัมปทา แปลว่า ขยันหา
2. อา มาจาก อารักขสัมปทา แปลว่า รักษาดี
3. กะ มาจาก กัลยาณมิตตตา แปลว่า มีกัลยาณมิตร
4. สะ มาจาก สมชีวิตา แปลว่า ใช้ชีวิตพอเพียง

ที นี้ก็มาดูทีละข้อว่าจะต้องทำอย่างไร
อุ คือ ขยันหา หมายความว่า อย่าเกียจคร้าน เมื่อตื่นขึ้นมาก็ต้องเดินไปข้างหน้าทันที เงินเป็นของกลาง ใครเดินเข้าไปหาก็เป็นของคนนั้น เงินไม่ได้ถูกผูกขาดไว้เป็นสมบัติของคนรวย เงินถูกออกแบบมาเพื่อให้เป็นสมบัติของคนทั้งโลก ใครขยันมากก็ได้มาก ใครขยันน้อยก็ได้น้อย ใครไม่ขยันเลยก็ไม่ได้เลย
เงินชอบคนขยัน ถ้าเห็นใครขยันก็จะกระโดดไปอยู่ด้วย แต่ถ้าคนขี้เกียจ เขาก็ไม่อยากอยู่ด้วย เงินก็จะกระเด็นหนีไปหมด

อา คือ รักษาดี หมายความว่า เงินเข้ามือซ้าย มือขวาต้องเก็บ เงินเข้ามือขวา มือซ้ายต้องเก็บ ไม่ใช่เงินเข้ามาทางซ้าย ปล่อยให้ไหลไปทางขวา เงินเข้ามาทางขวา ปล่อยให้ไหลออกไปทางซ้าย อย่างนี้ไม่มีทางรวยแน่นอน เราต้องรู้จักเก็บ เก็บรักษาให้ดี
พระพุทธองค์ สอนวิธีรักษาเงินไว้ว่า เมื่อทำมาหากินโดยชอบแล้ว ได้เงินมาก็ต้องแบ่งเป็นส่วนต่างๆดังนี้

1. เก็บเป็นเงินสำรองคงคลังไว้ก้อนหนึ่ง เผื่อเจ็บไข้ขึ้นมาก็ไปเบิกใช้รักษาตัว คนมีเงินสำรองคงคลังเยอะๆ สุขภาพจิตจะดีเป็นพิเศษ คนที่มีเงินเยอะๆจะหัวเราะเสียงดัง เวลาไปวัดก็นั่งแถวหน้า ไม่กลัวซองผ้าป่าเลย
2. แบ่งเงินมาใช้กินด้วย เงินเป็นสิ่งสมมุติ ชีวิตมนุษย์เป็นของจริง เงินจะมีค่าต่อเมื่อนำมาใช้ เงินที่ยังไม่ถูกนำมาใช้ ยังไม่บรรลุวัตถุประสงค์ ของเงิน อย่าเก็บไว้จนเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ คนอื่นก็ไม่ได้กิน ตัวเองก็ไม่ได้กิน
3. เอาเงินมาต่อเงิน คือ ให้รู้จักทำธุรกิจนั่นเอง แต่อย่าให้เกินกำลัง เวลาเรามีเงินก็ให้ดูช่องทางว่า จะต่อยอดธุรกิจอะไรจากเงินตรงนี้
4. รู้จักเสียภาษี เพราะเราเกิดแผ่นดินนี้ อยู่แผ่นดินนี้ เราเป็นหนี้บุญคุณแผ่นดิน อย่าหลีกเลี่ยงการเสียภาษี รวยแล้วให้ ได้แล้วแบ่งปัน คือ สูตรของพระพุทธองค์ 5. บำรุงสมณชีพราหมณ์ ให้กินอิ่มนอนอุ่น มีกำลังใจออกไปเทศน์ไปทำบุญ เพื่อรักษาธรรมไว้ให้สังคม 6. อุทิศส่วนกุศลให้บรรพบุรุษผู้ล่วงลับ

กะ คือ กัลยาณมิตตตา คือ รู้จักคบคนดีเป็นเพื่อน กัลยาณมิตร ก็คือ Connection นั่นเอง ขณะเดียวกันก็ต้องหลีกเลี่ยง บาปมิตร คือ เพื่อนเลว และ พันธมิตร คือ เพื่อนที่ค้าขายกับเราแต่ไม่จริงใจกับเรา

สะ คือ สมชีวิตา การใช้ชีวิตอย่างพอเพียง อย่าลงทุนเกินหน้าตัก จะลงทุนอะไรท่านสอนไว้ 3 คำ คือ มีเหตุผล พอประมาณ ทางสายกลาง



"ลม เปลี่ยนทิศ"
ไทยรัฐออนไลน์



27 พฤศจิกายน 2553

Sunday, December 12, 2010

เทรดเดอร์ขาซิ่ง ขาโจ๋วัยจ๊าบ ลงทุนตั้งแต่วัยละอ่อน ดีจริงหรือไม่...มาดูกัน (One Night Stand Discussion # 40)

แหล่งปลายทาง: http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=17601&p=157216#post157216

หลังจากที่เรียนจบมาได้ 2 ปี...นาย A ก็ได้พูดคุยกับ นาย B เพื่อนร่วมรุ่น เป็นครั้งแรก หลังจากเรียนจบ....

นาย A: “เฮ้ย! แกไปทำอะไรมาว่ะ ซื้อรถหรูๆ มีเงินเก็บเยอะขนาด เพิ่งเริ่มทำงานเองไม่ใช่รึ?”
นาย B: “อ๋อ พอดีได้กำไรจากหุ้นว่ะ
นาย A:  “โห เจ๋งว่ะ...ว่าแต่ตอนนี้เอ็งทำงานอะไรอยู่รึ?”
นาย B: “ไม่ได้ทำ..เล่นหุ้น แล้วก็เทรด TFEX สองอย่างนี่แหล่ะ
นาย B: “…………” (พูดไม่ออก เพราะกำลังอึ้งกับคำตอบ)

...ครับ...เชื่อแน่ว่าในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา.. คุณย่อมจะมีเพื่อนหรือคนรู้จักที่ประสบความสำเร็จจากการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การลงทุนใน ตลาดหุ้น

ที่สำคัญ...เค้าเหล่านั้น...อายุยังน้อย!!

ใช่แล้วครับ! ผมกำลังจะบอกว่า ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา หลังวิกฤติเศรษฐกิจนั้น เรามักจะได้พบเห็นนักลงทุนและเทรดเดอร์ที่มีอายุน้อยจนไม่น่าเชื่อว่า จะมีพอร์ทลงทุนในหุ้น ขนาดใหญ่โต บางคนเทรดเองไม่ถึง 2 ปี ก็เป็น รายใหญ่ไปซะแล้วก็มีครับ (รุ่นพี่ผมคนนึงก็ใกล้เคียงกับคำว่า รายใหญ่ไปแล้ว ทั้งๆที่อายุยังแค่ 26 ปีเท่านั้น เหนือชั้นจริงๆ!!)
ที่น่าแปลกใจ ก็คือ คนรุ่นใหม่ อายุยังน้อยเหล่านี้มักไม่ได้ทำงานประจำที่เป็นลูกจ้าง แต่ชอบที่จะยึดอาชีพการลงทุนเป็นหลัก หรืออีกชื่อที่ผมขอเรียกว่า เทรดเดอร์อิสระตั้งแต่อายุยังน้อย บางคนอายุอาจจะยังไม่ถึง 30 ปี ด้วยซ้ำไป
ซึ่งในที่สุด เขาเหล่านั้น ก็ได้กลายมาเป็น Idol ให้กับหนุ่มสาวรุ่นใหมทั้งที่เรียนจบแล้ว หรือกำลังศึกษาอยู่

...เพราะอะไร?....

คำตอบไม่ยากเลยครับ...ก็เพราะ เงินหาง่าย ไหลมาเทมา เหมือนดั่งใจนึก นั่นเองครับ
อย่าลืมน่ะครับว่า..สังคมในปัจจุบันนั้นแทบจะกลายเป็น วัตถุนิยมไปแล้ว..หนุ่มสาวปัจจุบันต้องอยู่ในกระแส ตามกระแส ห้ามตกเทรนด์ ไม่งั้นจะกลายเป็น คนแสนเชย เพื่อนไม่คบ เพราะไม่ตามเทรนด์ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงในสังคมปัจจุบันครับ (สังคมที่ดีๆก็มีน่ะครับ ไม่ใช่ไม่มี แหะแหะ)

ดังนั้นแล้ว...งานอะไรที่ทำให้หาเงินง่ายๆ ได้เร็วๆ ไม่ต้องรอนาน...หนุ่มสาวเหล่านี้ ก็พร้อมจะพุ่งเข้าหาทันที...

....โดยลืมนึกไปว่า....

ถ้าเล่นหุ้นมันง่ายจริง...ป่านนี้คนรวยกันทั้งโลกไปแล้ว

..ตัดประเด็นนี้ดีกว่าครับ..เดี๋ยวจะเสียกำลังใจกัน..หุหุ
มาดูว่า เราควรจะเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อย ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยหรือไม่?   และคุณควรจะประกอบอาชีพ เทรดเดอร์อิสระซึ่งก็คือเน้นการลงทุนเป็นหลักนั่นเอง

บางคนอาจจะให้เหตุผลว่า ควรเพราะ การลงทุนก็เปรียบเหมือนกับกีฬาชนิดหนึ่งที่คนที่จะ ประสบความสำเร็จนั้นจะต้องเริ่มฝึกฝนตั้งแต่อายุยังน้อย ตัวอย่างที่เด่นชัดก็เช่น ไทเกอร์ วูดส์,ภาราดร ศรีชาพันธ์, คริสเตียโน่ โรนัลโด้ แล้วก็อีกหลายๆคนครับ

แต่บางคนก็อาจจะแย้งทันทีว่า ไม่ควรเพราะถ้าถามว่าเค้าเหล่านี้...นับเป็นกี่เปอร์เซนต์ของคนในวัยเดียวกันที่พยายามจะเป็น นักกีฬาอาชีพ”….นับแบบหยาบๆ ก็คงไม่เกิน 7-8% หรอกครับ!!

แล้วถ้าจะให้ โหด โฉด!! ก็ต้องบอกว่า

มีแค่ 1-2% เท่านั้นครับ ที่จะประสบความสำเร็จแบบสุดโต่ง
ฟังแล้วเครียด อยากกินยาทัมใจ!! มั๊ยหล่ะครับ เหอๆๆ
สรุปว่า...จะ ควรหรือ ไม่ควรก็แล้วแต่จะคิดครับ

แต่สำหรับผมแล้วนั้น...การที่เราสามารถลงทุนได้ตั้งแต่อายุน้อยๆนั้นมันมีหลายปัจจัยครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฐานะทางบ้าน ซึ่งก็อย่างน้อยๆ ก็ไม่ควรจะพอมีพอกินหรือถึงขั้นบ้านรวยไปเลยก็ได้ครับ เพราะ คงไม่มีพ่อแม่ที่ไหน ที่จะยอมให้ลูกออกมาเทรดเป็นอาชีพแน่นอน หากยังมีปัญหาทางการเงินอยู่.... ถูกมั๊ยครับ?

ถ้าฐานะทางบ้านของคุณยังไม่ดีพอระดับมีเงินหมุนเวียน 10 ล้านบาทขึ้นไป....คุณก็จะโดนปิดกั้นโอกาสที่จะเป็นเทรดเดอร์อาชีพค่อนข้างแน่นอน... คุณก็ต้องหันไปทำงานประเภทกินเงินเดือนไปก่อนครับ ไว้มีโอกาสดีๆ เก็บเงินได้ระดับนึง แล้วค่อยนำไปลงทุน จะดีที่สุดครับดังนั้นแล้วคนที่จะเป็นนักลงทุนอาชีพตั้งแต่อายุยังน้อยนั้น   น่าจะเป็นเรื่องของคนที่มีพ่อแม่ค่อนข้างรวยหรือรวยมาก   ไม่ใช่เรื่องของคนที่มีพ่อแม่เป็นคนจนหรือคนชั้นกลางที่มีเงินแค่พอกินพอใช้ครับ...อาจจะฟังดูทำร้ายจิตใจ...แต่นี่คือโลกของความจริงครับ T__T

แต่....ทุกปัญหามีทางออกฉันใด ในความมืดก็ย่อมมีแสงสว่างฉันนั้น
เพราะ...โอกาสมีให้คนไขว่คว้า...เป้าหมายก็มีไว้ให้เราพุ่งชน...!!
ถ้าคุณมีความสามารถจริงๆ เจ๋งๆ เดี๋ยวนี้..คุณก็อาจจะไปบริหารพอร์ทการลงทุนให้กับคนที่มีเงินถุงเงินถังได้ หรือบ้านไม่รวยแต่มีคนรู้จักรวยๆ คุณก็อาจจะไปเป็นโบรกเกอร์ก็ได้ครับ (บางคนทำเงินได้เดือนละหกหลักสบายๆครับ)

...หรือไม่...คุณก็มาทำอาชีพมือปืนรับจ้าง...อย่างที่ผมกำลังทำอยู่...ก็ได้น่ะครับ อิอิ

อ่ะแน่แน๊...ผมไม่ใช่เป็นฆาตกรน่ะครับ...แต่เป็นคนที่เล่นพอร์ทของหลักทรัพย์ หรือที่เรียกกันว่า “Proprietary Trader” ครับ...ง่ายๆก็คือ เอาเงินคนอื่นมาเล่นนั่นเอง ส่วนผลตอบแทนจะเป็นในรูปแบบใด ก็แล้วแต่ดีลที่ตกลงกันครับ แต่รับรองว่า ถ้าคุณแจ้งเกิดได้...เปรี้ยงปร้างแน่นอน!!
หรือไม่คุณก็ไปเป็นสายกองทุน หากเก่งหน่อย ก็เป็น Fund Manager ไปเลย..อาชีพแนวนี้ โบนัสแต่ละครั้ง ซื้อรถ ซื้อบ้านได้เลยน่ะครับ เหอๆๆ

มาสรุปกันเลยดีกว่าครับ...
สำหรับคนที่ทางบ้านไม่ได้ร่ำรวยมากมาย  แนะนำครับว่าควรเริ่มลงทุนเมื่อเรียนจบและมีงานทำมีรายได้ของตนเองแล้ว ไม่ใช่ใช้เงินลงทุนของทางบ้านน่ะครับ เพราะถ้าเกิดคุณเจ๊งขึ้นมา...ภาพพจน์ของคุณในสายตาผู้ใหญ่จะต่ำจมดินทันที จะทำให้ลำบากต่อการลงทุนใหม่ในคราวหน้าทันที 
สำหรับคนที่ทางบ้านร่ำรวยมีฐานะ   การเริ่มลงทุนตั้งแต่ยังเยาว์วัย ตั้งแต่ยังเรียนอยู่ ถ้าทำได้ก็ควรลองน่ะครับ ช่วงที่เหมาะสมที่สุดก็คงจะเป็นช่วง ปีสามหรือปีสีครับ ต้นทุนที่ใช้ในการลงทุนก็ไม่ควรเกินหลักแสนบาทน่ะครับ อย่างน้อยก็คิดซะว่าถ้าเจ๊งไป ก็เป็น ค่าครูครับ....ถ้าคุณทำกำไรได้ จนมั่นใจว่าสามารถ เอาอยู่เนี่ยะ...ก็ค่อยมาว่ากันอีกทีว่า คุณจะเป็นนักลงทุนเต็มตัว หรือทำงานไปด้วย ลงทุนไปด้วยครับ

สำหรับคนที่ใฝ่ฝันที่จะเป็นนักลงทุนอาชีพเต็มตัว หรือ เทรดเดอร์อิสระนั้น อย่างน้อยคุณก็ควรจะพิสูจน์ตัวของคุณเองให้ได้ว่าตัวเองก็มีความสามารถในการลงทุนเพียงพอและควรมีเงินต้นทุนที่มากพอ ที่จะทำให้เขามีอิสระทางการเงินได้ครับ ประเภทว่าทำเงินได้เฉลี่ยปีละอย่างน้อย 20-30% อย่างสม่ำเสมอเนี่ยะ ก็โอเคแล้วครับ เงินต้นทุนก็ควรจะมีประมาณ 5 – 10 ล้านบาทอย่างน้อยครับ

แต่ถ้าคุณอยากจะลงทุนไปด้วย ทำงานอย่างอื่นไปก่อนด้วย...ก็ดีอีกแบบครับ...ความเสี่ยงน้อย!! ค่อยๆเป็น ค่อยๆไป ไม่ต้องตามกระแส ทำเท่าที่ความสามารถเราจะทำได้ ไว้ให้วันที่เรามีเงินมากพอและเรามั่นใจในความสามารถของเราเองแล้ว....

..คุณจะทำอะไร ก็ไม่มีใครว่าคุณหรอกครับ..เพราะมันคือเงินลงทุนที่คุณหามาด้วยตัวคุณเอง!!..
ทิ้งท้ายน่ะครับว่า...

การเป็นเทรดเดอร์อิสระ ไม่ได้การันตีว่าคุณจะเก่งกว่าคนอื่น
ในทางกลับกัน...มันก็เหมือนกับการทุบหม้อข้าว
มันเป็นการวางเป้าหมายที่แน่วแน่...ว่าทั้งชีวิตนี้
...ชีวิตคุณ..จะขึ้นอยู่กับความสามารถทางการลงทุน
ของตัวคุณเอง...เท่านั้นเอง..

ความเสี่ยงย่อมมีอยู่ในทุกอาชีพ ในทุกหนแห่ง...อยู่ที่ว่าเราสามารถควบคุมมันได้หรือไม่..แค่นั้นเองครับ...

...จะเริ่มลงทุนช้าเร็ว...ก็ไม่สำคัญเท่ากับ..ความพร้อมในการลงทุนที่คุณมีอยู่!!
โชคดีครับ

Wizard Kid
12 Dec 2010
13:52 น.


อาชีพไหน..เรียนด้านใด..ถึงจะเหมาะกับการลงทุน!! (One Night Stand Discussion #39)

เชื่อแน่ว่าในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตคุณ...ย่อมต้องเจอประโยคนี้จากคนที่คุณรัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...จากบุพการีของคุณเอง...ที่ว่า..


ลูกควรจะเรียนด้านนี้น่ะ เพราะมันจะทำให้ลูกร่ำรวยได้

ต้องมีประโยคผ่านเข้าหูคุณเป็นแน่แท้...อยู่ที่ว่า เรียนด้านนี้ของแต่ละคนมันไม่เหมือนกันครับ

ถ้าถามว่า เรียนจบสายไหนและทำอาชีพใด...ถึงจะเหมาะแก่การลงทุนที่สุด

ผมมองว่า "ทุกอาชีพ" ครับ...แต่จะลงทุนได้ดีหรือไม่นั้น ต้องขึ้นอยู่กับลักษณะนิสัยส่วนตัว และพื้นฐานการปลูกฝัง การเล่าเรียน และสิ่งแวดล้อมรอบตัวครับ ว่าจะดึงศักยภาพและประสิทธิภาพในการลงทุนของคนคนนั้นได้มากขนาดไหน

เราไม่สามารถเจาะจงได้ตรงๆหรอกครับว่า อาชีพใด ที่จะลงทุนเก่งที่สุด เพราะจากประสบการณ์ที่เคยทำงานด้าน Broker มาก่อน ทั้งลูกค้าของผมเอง และลูกค้าของพี่ๆ เพื่อนๆ ที่ร่ำรวย ประสบความสำเร็จนั้น ต่างมีภูมิหลังที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง....

บางคนเป็น "หมอ"...บางคนเป็น "วิศวกร".. เป็น "นายธนาคาร" เป็น "นายห้างทอง"...เป็น "นักกีฬา" ก็มีครับ...และก็ไม่ต้องแปลกใจที่จะเห็นคนร่ำรวยจากการลงทุนที่ "ไม่มีงานทำ" เพราะ "เค้าเรียนจบแค่มัธยมต้น" ก็มีน่ะครับ...

ปัจจุบันผมมาทำงานสาย Trader เต็มตัว...ก็ได้เจอพี่ๆที่ "โคตรเก่ง" ในการเทรด...แล้วพอสืบประวัติ ก็จะเห็นได้ว่าแต่ละคนไม่ได้เรียนมาจากสายเดียวกัน...บางคนเรียนการเงิน บางคนเรียนหมอ บางคนเรียนวิศวะ หรือแม้แต่นิเทศศาสตร์ก็มีครับ ขนาดเพื่อนสนิทผม เรียนจบการโรงแรม แต่ก็เก่งในการลงทุนมากๆเช่นกัน...

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ก็แทบจะสรุปได้ว่า...

"ทุกๆคนสามารถประสบความสำเร็จในการลงทุนได้
ไม่ว่าคุณจะเรียนด้านใดมา ไม่ว่าคุณกำลังทำงานสายใดอยู่" 

แล้วอะไรคือปัจจัยหลักที่ทำใหุ้คุณจะประสบความสำเร็จในการลงทุน?

....ความมุ่งมั่น....ความใส่ใจ...ความตั้งใจ...ความทะเยอยาน...

....การมีเป้าหมาย...ความกล้า...ความแน่วแน่...

....การมีสติอยู่กับตน..ความเด็ดเดี่ยว...

..และสุดท้าย...ก็คือ.

.."การลงทุนในสิ่งที่ตนเองถนัด"...

......คุณถนัดสิ่งใด...ก็จงมุ่งมั่นศึกษาสิ่งนั้นอย่างจริงๆจังๆ...

..หากคุณชอบลงทุนในหุ้น..ก็ต้องรู้จริงเรื่องหุ้น...
..หากคุณหลงใหลใน TFEX..ก็ต้องเจาะลึกเรื่อง TFEX...
..หากคุณเมามันส์กับค่าเงิน...ก็ต้องล้วงลึกเรื่องค่าเงินให้ได้...

ขอแค่นี้แหล่ะครับ..."ทำในสิ่งที่รักและถนัด" และ "หมั่นฝึกฝน" ซ้ำๆ ทุกวันๆ 

จากนักกีฬา "มือสมัครเล่น" ก็จะแปรเปลี่ยนเป็นนักกีฬา "มืออาชีพ" ได้อย่างแน่นอนครับ

นอกเรื่องมาไกลเลย....แหะแห

ที่ผมอยากจะบอกทิ้งท้ายก็คือ

ถ้าคุณกำลังเรียนอยู่...จงตั้งใจเรียน..และเตรียมพร้อมที่จะเผชิญกับโลกแห่งการทำงาน..อันแสนโหดร้าย...คุณผิดพลาด แก้ตัวเวลาสอบตกได้...แต่คุณไม่สามารถแก้ตัวซ้ำซ้อนเวลาคุณทำงานผิดพลาดได้ครับ...จงเตรียมตัวซะแต่เนิ่นๆจะดีที่สุดครับ

ถ้าคุณกำลังทำงานอยู่...แล้วเบื่องานที่ทำ..รู้สึกเซ็งเป็ดกับสิ่งที่ต้องเจอทุกวัน....ลาออกจากงานซะเถอะครับ...แล้วกระโดดสู่โลกกว้าง...ทำในสิ่งที่คุณอยากจะทำจริงๆ..อาจจะใช้เวลานานก็ไม่ไปไรครับ..เพราะคนที่ทำในสิ่งที่รัก...มักจะประสบความสำเร็จกว่าคนอีกกลุ่มที่จมปลักอยู่กับสิ่งที่ถูกบังคับให้ทำ

ถ้าคุณเป็นลูก...จงรักครอบครัว โดยเฉพาะพ่อแม่..ให้มากกว่าที่คุณรักตัวเอง..อย่าทำให้ท่านเสียใจ..และพิสูจน์ให้ท่านเห็นให้ได้ว่า...คุณสามารถยืนด้วยลำแข้งตัวเองได้...สามารถเลี้ยงชีพตัวเองและครอบครัวได้ด้วยตัวท่านเอง...ถ้าคุณทำได้....พ่อแม่คุณก็ตายตาหลับแล้วครับ

ถ้าคุณมีลูก...จงปล่อยให้เค้าได้ทำ..ได้เรียน..ได้ลองในสิ่งที่เค้าสนใจ..ที่เค้ารัก..แต่ต้องเป็นสิ่งที่ดี ไม่เดือดร้อนผู้อื่น...เรื่องบางเรื่องที่คุณดูว่าไร้สาระ..อาจจะมีคุณค่าในภายหลังก็เป็นได้น่ะครับ...อย่าห้ามไปซะทุกเรื่อง...เพราะลูกจะต่อต้านคุณ...เป็นที่ปรึกษาที่ดีจะดีกว่า...แล้วลูกจะเข้ามาหา..เข้ามาคุย..มาปรึกษาคุณเอง

ราตรีสวัสดิ์ครับ

Wizard Kid
12 Dec 2010
00:19 น.

Saturday, December 11, 2010

รู้เขา รู้เรา..จิตวิทยามวลชนกับความบ้าคลั่ง...สำคัญไฉน!! ผมใช้ได้ คุณก็ใช้ได้!! (One Night Stand Discussion # 38)


..จิตวิทยา..คนเล่นหุ้น..นั้นมีอยู่..
..ใครกำไร..กำไรตาม..มิใช่แปลก..
..ใครเจ๊งบ๊ง..ก็เจ๊งตาม..ยิ่งไม่แปลก..
..เหมือนแมงเม่า..ที่บินลง..กองไฟเอย..

เชื่อแน่ว่านักลงทุนหรือผู้ที่สนใจลงทุนในตลาดหุ้นนั้น ถ้าไม่ใช้การวิเคราะห์หุ้นแบบพื้นฐาน (Fundamental Analysis) ก็คงต้องใช้การวิเคราห์หุ้นด้วยกราฟ (Technical Analysis) เป็นแน่แท้....ชิมิ เอ๊ย ใช่มั๊ยครับ? หุหุ

....แต่....ขอบอกครับ ขอบอก...!!

มีอีกหนึ่งวิธีเทรดที่ผมและเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าเทรดเดอร์ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะสิงห์เดย์เทรด เล็กสั้น ขยันซอยทั้งหลาย (เข้าเร็ว ออกเร็ว) ชอบใช้กัน...วิธีนี้ค่อนข้างยากที่จะเข้าใจ แต่ถ้าชำนาญแล้ว...กำไรมหาศาลแน่นอนครับ!!!

....จิตวิทยามวลชน...

เชื่อแน่ว่าทุกท่านย่อมเคยได้ยินคำๆนี้ผ่านหูมาบ้างพอสมควร...ส่วนใหญ่แล้วมักจะเห็นการใช้คำๆนี้ในแวดวงการเมือง หุหุ ซึ่งก็คล้ายๆกับการชักจูงให้มวลชนคล้อยตามที่ในสิ่งที่ผู้นำพูดและชักนำให้มวลชนเชื่อถือ และยอมคล้อยตาม...

ตลาดหุ้นก็เช่นเดียวกันครับ ไม่ได้แตกต่างปลีกแยกแต่อย่างใด...หนำซ้ำ! กลับเป็นแหล่งที่ใช้อธิบายคำว่า จิตวิทยามวลชนได้ดีที่สุดแหล่งนึงเลยครับ..

เพราะอะไร? ก็เพราะตลาดหุ้นเป็นสถานที่ที่บรรจุอารมณ์ทุกอารมณ์ของมนุษย์เท่าที่จะมีได้น่ะซิครับ...ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์โลภ โกรธ หวาดกลัว ระแวง ดีใจ เสียใจ เศร้า เครียด เซ็งเป็ด แล้วก็อีกหลากหลายอารมณ์เท่าที่จะสรรหาได้ในโลกนี้...ล้วนแล้วแต่หาได้ในตลาดหุ้นครับ...

….ขนาดอารมณ์ อกหักก็ยังหาได้ในตลาดหุ้นเลยครับ...(อกหักเพราะขายหมูไง อิอิ)

สำหรับแนวคิดในเรื่องจิตวิทยามวลชนนั้น เป็นการวิเคราะห์ถึงพฤติกรรมและอารมณ์ของมวลชนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และพิจารณาถึงระดับของความมองโลกในแง่ดีของคนเหล่านี้จะสามารถทำให้เราเลือกโอกาสในการลงทุนได้ และโดยหลักการนี้เองจึงทำให้เกิด การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) ขึ้น (โอ้ววว...และแล้วเราก็ได้รู้ที่มาของ Technical Analysis จนได้ อิอิ)

ทีนี้เรามาลองดูกันว่า เจ้าจิตวิทยามวลชนเนี่ยะ...จะนำมาประยุกต์ใช้กับตลาดหุ้นได้อย่างไร...
เคยเห็นกันใช่มั๊ยครับ เวลาที่ราคาหุ้นเริ่มขึ้นกัน...โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นที่นักลงทุนไม่เคยสนใจเท่าไหร่...แรกเริ่มนั้นคนจะยังไม่สนใจเท่าไหร่ แต่พอผ่านไปเรื่อยๆ ราคาหุ้นตัวนั้น กลับดีดขึ้นต่อไปเรื่อยๆ จนทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มชำเลืองตามอง (กว่าจะหันมามอง ราคาหุ้นก็เริ่มดีดไปไกล ใกล้ปลายดอยแล้ว เอิ๊กๆๆ) สุดท้ายก็มิอาจห้ามใจกดปุ่มคำสั่งซื้อขายจนได้ครับ!!!

แล้วสังเกตุมั๊ยครับ? ว่าเมื่อไหร่ที่คุณซื้อหุ้นตัวแรงตัวนั้น..ราคามักจะไปต่อให้คุณตายใจ...จนคุณแทบจะคิดว่า ชั้นจะรวยแล้ว!!” จนคุณหลงลืมบางสิ่งบางอย่างไปว่า..

....คุณกำลังตกหลุมพลาง!!...

สุดท้าย....อนิจจัง ทุกขัง ครับ...ติดดอย!! นั่นเอง ฮ่าๆๆ

ถูกต้องแล้วครับ...เวลาที่หุ้นขึ้นแรงๆฉันใด ยามหุ้นลง ราคาก็ย่อมดิ่งแรงฉันนั้น!!

นี่แหล่ะคือ จิตวิทยามวลชน”!!! ยามแห่กันซื้อ ก็ซื้อจนบ้าคลั่ง...ยามตกใจขาย ก็ขายกันแผ่นดินถล่ม...นี่แหล่ะครับ วิธีที่เจ้ามือ หรือรายใหญ่เค้าใช้ในการทำกำไร หรือไม่ก็ดักเก็บของถูก..มันจะเป็นแบบนี้ไปตลอดกาล ตราบใดที่นักลงทุนยังใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ!!
..โดยจุดที่ทำให้เกิด จิตวิทยามวลชนในตลาดหุ้นนั้น ก็คือ ความบ้าคลั่งนั่นแหล่ะครับ

ทำไมต้องเป็น ความบ้าคลั่งด้วยหล่ะ?

ง่ายมากครับ..ก็เพราะความบ้าคลั่งมันเกิดจากการมองโลกในแง่ดีเกินไปนั่นเอง คิดว่าหุ้นที่ซื้อต้องไปต่อ ต้องขึ้นแรงๆได้อีก ก็เลยขาดสติและเหตุผลในการซื้อขายจนควบคุมไม่ได้...เมื่อควบคุมไม่ได้ จาก มองโลกแง่ดีก็กลับกลายเป็น ความบ้าคลั่งได้ในที่สุด...

สรุปว่า ความบ้าคลั่งก็คือการที่เราไม่สามรถหวนคิดถึงบทเรียนที่เคยประสบพบพานในอดีต และใช้อารมณ์ในการลงทุนมากกว่าสติ

เมื่อภาวะ ความบ้าคลั่งนี่ได้เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นหรือหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง...นักลงทุนก็จะมีความอ่อนไหว และเกิดประกายความหวังในตลาดหุ้นหรือหุ้นตัวนั้นๆ และเมื่อมีมวลชนเข้ามาซื้อขายหุ้นมากขึ้น (จะหนักไปทางซื้อมากกว่าขายในช่วงแรก) หุ้นที่ซื้อไว้ก็จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่าง ซึ่งเมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว...ราคาที่เหมาะสมของหุ้นตัวนี้ จะไม่ได้ขึ้นอยู่กับการการวิเคราะห์ด้วยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) อีกต่อไป เพราะเชื่อแน่ว่าคงไม่มีนักลงทุนคนใดจะขายหุ้นที่ราคา 80 บาท แม้ว่ามูลค่าพื้นฐานจะอยู่ที่ 70 บาทก็ตาม หากเขาเชื่อว่าราคาตลาดใน 1 เดือนข้างหน้าจะเป็น 100 บาท...มันจริงมั๊ยหล่ะครับ? เชื่อแน่ว่าแทบจะทุกคนต้องเคยมีความคิดแบบนี้แน่นอน...จะขายทำไมหล่ะ ก็ในเมื่อทั้งราคาและวอลุ่มซื้อขายมันดูดีซะขนาดนี้!! (สุดท้ายเป็นอย่างไร ก็แล้วแต่ฝีมือกันน่ะครับ เอิ๊กๆ)

ผมมีความเชื่ออย่างนึงที่ว่า..

ถ้าเราทำอะไรตามคนอื่น เราจะได้ผลตอบแทนเท่ากับคนอื่น
 ยามคนอื่นกำไร เราก็กำไรตาม
ยามคนอื่นขาดทุน เราก็ขาดทุนตาม
เหมือนแมงเม่าที่บินลงกองไฟทั้งฝูง

เพราะฉะนั้นแล้ว...บางทีการที่เราไม่ทำตามคนอื่น ก็อาจจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการลงทุนก็ได้ครับ (ผมพิสูจน์มาแล้ว มันได้ผลจริงๆ) ขอแค่คุณสามารถฉวยโอกาสที่คนอื่นกลัว คุณก็ซื้อหุ้นที่ราคาต่ำ  แล้วคุณก็ขายก็ต่อเมื่อคนอึกเหิมที่ยอมซื้อหุ้นราคาสูงต่อจากคุณด้วยความเต็มใจนั่นเอง...แค่นี้แหล่ะครับ...ฟังดูง๊ายง่าย แต่ทำยากโคตรๆ (ถ้ามันง่ายจริง ป่านนี้มีเศรษฐีเดินกันว่อนตลาดสดแล้วครับ ฮ่าๆๆ)

แล้วสภาวะตลาดหุ้น ณ ตอนนี้ (ปลายปี 2010) เป็นอย่างไรบ้างหล่ะ?

 ….“จิตวิทยามวลชนอธิบายได้เต็มๆครับ...!!

เพราะตลาดหุ้นตอนนี้เป็นตลาดหุ้นที่คึกคักมาตั้งแต่กลางปีที่แล้ว ดัชนีหุ้นปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆจนทะลุ 1,000 จุดได้อย่างสวยงาม พร้อมทั้งมีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์

ผมอยากให้คุณมองและสังเกตุนักลงทุนรายย่อยในตลาดหุ้นน่ะครับ เพราะคุณจะเห็นอาการดีใจเหมือนคนถูกหวย ซื้อหุ้นตัวใดก็พาลได้กำไรไปซะทุกที จนทำให้คิดว่าการหาเงินจากตลาดหุ้นนั้นดูเหมือนจะง่ายดายเสียจริงๆ ทำให้คนอื่นๆ ที่อยู่นอกตลาดหุ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มคนที่เคยต่อว่าคุณว่า การเล่นหุ้นคือหนทางสู่การหมดตัว!! กลับเข้ามาสนใจลงทุนในตลาดหุ้น (ทั้งๆที่อคติกับตลาดหุ้นมาตลอดเวลา)

ก็เพราะความที่เห็นคนอื่นลงทุนในหุ้นแล้วกำไร เค้าเหล่านั้นก็เลยอดใจไม่ไหว ต้องกระโดดเข้ามาร่วมวงซื้อขายหุ้นทำกำไรกับเขาบ้าง

จุดนี้แหล่ะครับ คือจุดที่อันตรายที่สุดของตลาดหุ้น!!
เพราะตลาดหุ้น ณ ปัจจุบันนั้น หุ้นบางตัวมีมูลค่าการซื้อขายสูงมากๆ ขณะเดียวกันราคาหุ้นก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่ากลัว แต่สิ่งนี้หล่ะครับ ที่จะดึงดูดให้นักลงทุนรายย่อยหันมาสนใจและซื้อหุ้นตาม เมื่อนักลงทุนเข้ามาซื้อหุ้นมากขึ้น ราคาหุ้นก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้น จนเมื่อราคาหุ้นถูกไล่ไปถึงจุดหนึ่ง รายใหญ่หรือเจ้ามือมักเทขายแบบทุบทิ้ง

ตรงนี้แหล่ะครับ ที่จะเป็นจุดตอกเสาเข็มสร้างหมู่บ้าน ชาวดอยขึ้น

เพราะราคาหุ้นก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว นักลงทุนที่เข้าไปซื้อทีหลัง มีโอกาสสูงมากที่จะกลายเป็น เหยื่ออันโอชะเพราะซื้อหุ้นในราคาสูงเฉียดยอดดอย แล้วยิ่งมาเจอกันทุบหุ้น แถมด้วยมูลค่าการซื้อขายที่น้อยลงจนน่าตกใจ (ก็เจ้ามือมันทุบหุ้นไปแล้ว ใครจะมาเล่นต่อหล่ะ ฮ่วย!) ราคาหุ้นที่ถือไว้ก็ลดลงๆ สภาวะเช่นนี้นักลงทุนรายย่อยจะรู้สึกห่อเหี่ยว แทบจะไม่มีกำลังใจในการซื้อขายหุ้นแต่อย่างไร บางคนขาดทุนหนักจนต้องเลิกเล่นหุ้นไปเลยก็มี ช่างน่าเศร้ายิ่งนัก!!

....เห็นมั๊ยครับว่า...แค่คุณรู้วิธีการเคลื่อนไหวของ จิตวิทยามวลชน”…คุณก็เอาตัวรอด หรือไม่ก็ทำกำไรจากตลาดหุ้นได้แน่นอน...

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มคนที่เป็น รายใหญ่หรือ เจ้ามือนั้น...ช้อบชอบครับ!! เพราะเค้ารู้ว่านักลงทุนรายย่อยนี่มักจะชอบทำอะไรตามคนหมู่มาก แต่ไม่เคยทำกำไรได้เหมือนคนกลุ่มน้อยนั่นเอง เอิ๊กๆๆ
มีผู้รู้ท่านนึง (ผมลืมชื่อเค้าไป ขออภัยด้วยคร้าบ) กล่าวเอาไว้ว่า

ตลาดหุ้นคือตัวเรา ตัวเราคือตลาดหุ้น เอาชนะใจตัวเองได้คือชนะตลาดหุ้นได้

ขอแค่คุณไม่โลภจนเกินพอดี เมื่อนั้นคุณก็จะอยู่ตลาดได้ชั่วชีวิตการลงทุนครับ

ทิ้งท้ายด้วยแง่คิดที่ว่า

    “การทำในสิ่งที่คนอื่นไม่ทำ เป็นหลักในการเข้าซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าในช่วงเวลาที่ลงตัวที่สุด เพราะไม่มีใครมาแย่งคุณซื้อแน่ๆ...ที่สำคัญ ยิ่งยามที่มีแต่คนขาย คุณจะได้ของดีราคาถูกมากมาย อีกทั้งคนส่วนใหญ่มักจะสนใจหุ้นเมื่อคนอื่นๆ สนใจ แท้จริงแล้วหุ้นที่น่าสนใจคือหุ้นที่คนอื่นๆ ไม่สนใจ คุณไม่สามารถที่จะซื้อหุ้นที่กำลังได้รับความนิยม และจะได้รับผลตอบแทนมหาศาลจากมันอย่างที่คุณหวังอย่างแน่นอน

ดังนั้นแล้ว...

ควรกล้าในยามที่คนอื่นกลัวสุดขีด แล้วควรกลัวสุดขั้วในยามที่คนอื่นบ้าคลั่งถึงขีดสุด

ในการเทรดโดยใช้จิตวิทยามวลชนนั้น คุณไม่จำเป็นต้องเป็นอัจฉริยะหรอกครับ เพราะบางทีคนที่ไอคิวสูงลิ่ว ก็สามารถแพ้พ่ายให้กับคนที่ไอคิวต่ำกว่าได้ครับ....สำคัญมันอยู่ที่ EQ ต่างหากครับ!! รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง!!

Wizard Kid
11 Dec 2010
2:09 น.

Thursday, December 9, 2010

มาดูกราฟของคู่กรณีป่วน SET กันดีกว่าครับ SCC กับ PTTCH!! เอากันให้ตายกันไปข้างนึง!!! ฮ่วยยย!!!

อรุณสวัสดิ์ครับมิตรสหายทุกท่าน หวังว่าทุกท่านจะรอดตัว ไม่โดนยิงจมกองเลือดคาถนนที่ชื่อว่า "ตลาดหุ้นไทย" กันน่ะครับ 

ใครใคร่โดน...ก็ขอให้บาดเจ็บแค่เลือดซิบๆ 
ใครใคร่รอด...ก็ขอให้แคล้วคลาดตลอดไป 
อิอิอิอิ

แหล่งบทความสุดสยิว: http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=17554&p=156934#post156934

จากเหตุการณ์วอลุ่มซื้อขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของตลาดหุ้นไทยที่วอลุ่ม 7 หมื่นกว่าล้านบาท บ้าไปแล้ว!!! วอลุ่มกว่า 10% ที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากการทะเลาะกันของฝ่ายโจทย์และจำเลยคู่หนึ่ง โดยโจทย์ก็คือ SCC  โดยมี PTTCH เป็นจำเลย...โดยเปิดตลาดมาก็ยิงใส่กันเลือดสาดกระจายครับ ฝั่ง SCC ก็คิดว่าข้าชนะแน่นอน เปิดกระโดดบวกไปตั้ง 6 บาทจากราคาปิดเมื่อวาน แล้วก็ดีดต่อได้อีก 3 บาทครับ หลังจากนั้นก็อย่างที่ทุกท่านเห็นกัน...

....สภาพศพดูไม่จืด!!!...

ไม่ต่างอะไรกับฝ่ายจำเลยคือ PTTCH เลยแม้แต่น้อย ที่เปิดมาก็ลงมาเลย 8 บาท (คนที่เทขายก่อนเมื่อวานนี้ ถ้าไม่เก่ง technical ก็ต้องรู้วงในมาก่อนแน่นอนครับ!! ชั่วสุดๆ!)  แต่ก็มีแรงซื้อมหาศาลรองรับอยู่เช่นกัน จนทำให้แท่งเทียนปิดแบบ Doji หรือเป็นสัญญาณกลับตัวครับ...

...เรามาดูกราฟของทั้ง SCC และ PTTCH กันดีกว่าครับ...วันนี้ผมขอทำสองกราฟซ้อนกันในหุ้นแต่ละัตัวน่ะครับ โดยจะเป็นกราฟระยะ DAY และ 15 นาทีน่ะครับ จะได้เห็นมุมมองของทั้งฝั่งถือยาว รักความอึด และฝั่งเล่นสั้น ขยันซอยครับ เอิ๊กๆๆๆ

มาเริ่มที่ฝ่ายโจทย์ SCC กันครับ


สั้นๆง่ายๆ ได้ใจความว่า...."หลอกเค้าให้รัก หลอกให้เค้าหลง สุดท้ายก็หักอกกันเต็มๆ!!"

เปิดมาสวยงามอย่างกับนางงาม แต่สุดท้ายเผยตัวตน เอ๊ะ!! นี่มันศัลยกรรมชัดๆ ฮ่าๆๆๆ ทิ้งดิ่งเลยครับ ไม่น่าเชื่อเนอะ ว่าหุ้นที่ดูแล้วเป็นฝ่ายได้เปรียบเต็มๆ กลับปิดลบแบบกระจายเลย เฮ้อออ

ถ้าูดูจากกราฟแล้วจะเห็นได้ว่า มีโอกาสสูงที่เดียวที่ SCC จะลงมาทดสอบแนวรับที่ 320 - 330 บาทครับ ซึ่งผมมองว่าเป็นบริเวณที่มีวอลุ่มซื้อขายกันหนาแน่นมากๆครับ ไม่น่าจะหลุด ตรงนี้อาจเป็นจุดให้เก็งกำไรกันได้ครับ หุหุ ในกราฟระยะ 15 นาที จะเห็นได้ว่าเป็นเขต OVERSOLD หรือ ขายจนหมดตูด นั่นเอง อิอิ (ทั้ง EMA, MACD ตัดลงชัดเจน ส่วน SLOW STOCHASTIC ลงมาต่ำสุดๆ )

แต่ระยะ DAY ยังไม่ส่งสัญญาณ SELL SIGNAL เลยครับ ( EMA, MACD, SLOW STOCHASTIC ไม่ตัดลง) 

ดังนั้นแล้ว 320-330 บาท...ก็ดูสวยงามน่ารับดีครับ แต่หากหลุดอีก ก็จิตวิทยาเลขกลมๆ 300 บาทครับ เหตุผลไม่มี แต่มันคือเรื่องจริง ความคิดคนส่วนใหญ่จะมองเลขกลมๆทั้งนั้น ถ้าหากมันทะลุแนวต้านสำคัญหรือหลุดแนวรับสำคัญครับ อิอิ

มาต่อกันที่ฝ่ายจำเลย PTTCH กันต่อเลยครับ


ตัวนี้ชัดเจนครับว่า ถ้าคนเทรดตาม MACD จะเอาตัวรอดมาได้ตั้งแต่ 160 บาทแล้ว แต่ไม่เป็นไรครับ คนเรามีผิดพลาดกันได้ หากติดดอยอยู่ ก็ให้ใจร่มๆ การเปิดลงมาแบบมีโคตรพ่อโคตรแม่ GAP แบบนี้ แถวผับย่านเอกมัยเค้าเรียกว่า "เรียกแขก ลูบปากแผล็บๆ" ครับ ฮ๋าๆๆๆๆ (นับวันเริ่มใช้ศัพท์ติดเรท เอิ๊กๆ)

ถ้าดูจากกราฟทั้งระยะ DAY และ 15 นาที นั้นจะเห็นได้ว่า PTTCH สวยกว่า SCC แล้วน่ะครับ เพราะ ในกราฟระยะ DAY นั้น ราคา PTTCH หลุด Bollinger Band Bottom หรือ BB ล่างนั่นเอง...ลงต่อก็ลงได้ไม่เยอะ โอกาสดีดกลับมีสูงกว่า แถมจะฮาโคตรๆ ถ้าปิด GAP ได้เลย เอิ๊กๆๆ ใครจับทางได้ก็รวยกันแน่นอนครับ...

โอ้วเกือบลืมไป...ในกราฟระยะ 15 นาทีนั้น...เกิดสามเหลี่ยมทองคำเล็กๆ ให้ลุ้นว่าจะทะลุสามเหลี่ยมบนได้หรือไม่ ถ้าทะลุได้...โอกาสปิด GAP ก็มีสูงครับ..แต่อาจจะไม่ใช่ขึ้นไปปิดเลยในวันเดียวน่ะครับ อาจจะเป็นภายในอาทิตย์หน้า ปีหน้า หรือ 10 ปีข้างหน้าก็ได้ ไม่มีใครทราบหรอกครับ (ถ้ารู้ก็โคตรรวยไปแล้ว...!!)  แถมยังมี indicators สนับสนุนอีก ไม่ว่าจะเป็น Slow Stochastic ที่ตัดขึ้น แถม MACD ก็เกิด Bullish Divergence (ราคาไม่ขยับ แต่สัญญาณซื้อชัดเจนแบบนี้ โอกาสขึ้นแรงมีพอตัวเลยครับ) 

ก็แนวรับของ PTTCH ก็คงเป็นบริเวณ 135-140 บาทครับ ไม่น่าจะหลุดไปมากกว่านี้...ส่้วนแนวต้านนั้น ก็ตรง GAP ที่ 152-154 บาทนั้นเอง อิอิ 

เอาเป็นว่า...วันนี้ใครรักความเสี่ยง ก็หาจังหวะเล่นกันดูน่ะครับ แต่อย่าลืม!! จุด Cut Loss น่ะครับ เพราะไม่มีใครรู้อนาคต แต่ขอแค่ให้เรามีความพร้อมในทุกสถานการณ์ ยังไงก็ไม่ตายไม่เจ๊งแน่นอนครับ!! ^_________^

ขอให้ร่ำรวย แฟนสวย แฟนหล่อ กันน่ะคร้าบบบบ ^___^

Wizard Kid
9 Dec 2010
7:26 น.

Tuesday, December 7, 2010

มาดูแนวโน้มของตลาดหุ้นอาทิตย์นี้กันครับ (มีเทรดกันแค่ 3 วันเอง T___T")



ไม่พูดพร่ำทำเพลงน่ะครับ (เดี๋ยวไปทำงานไม่ทัน ฮ่าๆ) กราฟตัวแรกนี่เป็นกราฟ SET ระยะ DAY น่ะครับ  จะเห็นได้ว่า SET ขึ้นมารอบนี้ ขึ้นมาได้เพราะเรื่องดอกเบี้ยนโยบายและคดียุบพรรคอันลือเลื่อง ส่วนถ้าเป็น Technical Analysis เนี่ยะ ก็เพราะมันทะลุสามเหลี่ยมทองคำได้นั่นเอง หุหุ

แต่....การขึ้นของ SET รอบนี้ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เนื่องจากเป็นการดีดขึ้นแบบวอลุ่มไม่หนาแน่นเท่าที่ควร จะเห็นได้ว่าเป็นแท่งเทียนกระโดดอยู่พอสมควร อีกทั้ง MACD และ Slow Stochasic ก็เพิ่งตัดได้ไม่นาน ต้องมาดูกันต่อไปน่ะครับว่ารอบนี้ SET จะสามารถทะลุ 1050 จุดได้หรือไม่ ถ้าได้แค่ทดสอบ แต่ไม่ผ่านเนี่ยะ...โอกาสลงมาทดสอบแนวรับใหญ่ที่ 1000 จุดก็น่าจะเกิดขึ้นอีกครั้งครับ....ขำๆน่ะครับ ไม่อยากให้เกิดหรอก แหะแหะ ไป 10,000 จุดไปเล้ยยยยยยยยยยย!!! เอิ๊กๆๆ


มาต่อกันด้วยกราฟของกลุ่มพลังงานหรือ SET ENERGY Index น่ะครับ 


จะเห็นได้ว่า pattern การทำราคานั้น แทบจะเหมือนกับ SET เลย ถูกต้องแล้วครับ ก็เพราะกลุ่มพลังงานเป็นตัวเป้งในการคำนวนดัชนีตลาดหุ้นไทยนั่นเอง อิอิ 

สั้นๆน่ะครับ....SET จะไปต่อได้ ก็ต่อเมื่อกลุ่มพลังงานบิ๊กเบิ้มอย่าง PTT PTTEP ดีดขึ้นแรงๆอีกครั้ง...มีโอกาสหรือไม่? มีแน่นอน...MACD เพิ่งตัดศูนย์ เป็นนัยยะที่ดีว่า กลุ่มพลังงานจะกลับมาเป็น Bullish Trend อีกครั้งนั่นเอง...

ต่อด้วย SET BANKING Index กันดีกว่าครับ กลุ่มนี้ถือว่าเป็นพระเอกตัวจริงของการขึ้นมาของ SET รอบนี้เลยครับ ดีดกันเป็นม้าเลย ไม่ว่าจะ KBANK BBL SCB BAY TCAP สุโค่ยครับพี่ท่าน!! 


ต้องมาลุ้นกันว่า 3 วันข้างนี้ กลุ่มธนาคารจะดัน SET ได้ต่อหรือไม่ ถ้าจะให้สวยก็ต้องซื้อจน MACD สามารถตัดเหนือศุนย์ได้...รับรอง SET ไทยวิ่งฉลุย คุณฉุยไล่ไม่ทันแน่นอน หุหุ

สรุป

ตลาดหุ้นภายในอาทิตย์นี้ อาจจะมีวอลุ่มซื้อขายเบาบาง เนื่องจากมีวันเทรดกันแค่ 3 วัน ก็จะเข้าช่วงวันหยุดอีกครั้ง...แต่เป็นไปได้ว่าดัชนีหุ้นไทย จะไปทดสอบ High เดิมที่บริเวณ 1050 จุดอีกครั้งครับ...จิตวิทยาและอารมณ์ตลาดมันก็บ่งชี้ทิศทางเช่นนั้นเหมือนกัน แต่หากไม่ผ่าน 1050 จุดเนี่ยะ... 1000 จุดก็อาจจะได้เห็นกันอีก หุหุ

แต่เนื่องจากช่วงนี้ Fund Flow เริ่มเข้ามา แถมกองทุนยังต้องซื้อปิดงบกันอีก...ลงยากครับ SET รอบนี้ อิอิ สั้นๆแต่ได้ใจมั๊ยเอ่ย เอิ๊กๆๆ

Wizard Kid 
7 Dec 2010
7:25 น.

ดู Charts ย้อนดูตน ดูเสร็จแล้วปฏิบัติ แล้วคุณจะรอด!!!


อรุณสวัสดิ์คร้าบมิตรสหายนักลงทุนทุกท่าน เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับวันหยุดยาวที่ผ่านมา ได้พาคุณพ่อคุณแม่ไปเที่ยว ไปกินข้าวที่ไหนกันบ้างรึเปล่าเอ่ย ^____^ ยังไงก็ขอให้มีความสุขและรักครอบครัวมากๆน่ะครับ 

ก่อนที่จะเริ่มการเทรดอาทิตย์นี้ ซึ่งมีแค่ 3 วันเท่านั้นสำหรับอาทิตย์นี้ เผอิญช่วงวันหยุดที่ผ่านมา ผมไปชะแว๊บเห็น charts เกี่ยวกับการลงทุนแบบเด็ดๆ มา 3 charts ครับ...ก็เลยอยากจะมาแชร์ให้มิตรสหายทุกท่านได้อ่านและเก็บไว้ในความทรงจำ และนำไปปฏิบัติด้วยน่ะครับ 

อันแรกนี่...โดนใจขาย่อย เม่าทะลุใจจริงๆ อิอิ ลองถามตัวเองดูน่ะครับว่าตอนนี้ คุณอยู่ในช่วงไหนของกราฟ ^______^


ส่วนอันที่สองนี้นี่ ผมชอบมากมายครับ เป็น chart ที่แสดงให้เห็นเกี่ยวกับ พฤติกรรมที่อาจนำไปสู่ความสำเร็จครับ...ที่บอกว่า "อาจนำ" ก็เพราะ คุณจะไม่ "สำเร็จ" ได้ ถ้าคุณไม่หมั่น "ฝึกฝน" และ "มีวินัยเทรด" ครับ ^____^


มาจบกันด้วย chart แสดงพฤติกรรมที่อาจนำไปสู่ความผิดพลาดในการลงทุนน่ะครับ ผมเคยพลาดมาแล้ว ยังไงพี่น้องทุกท่าน ก็อย่าเป็นแบบผมเลยน่ะครับ มันเหนื่อยและเครียดมากมายกว่าจะเอาสิ่งที่ผิดพลาดกลับคืนมาได้ หุหุ

โชคดีครับผม

Wizard Kid 

7 Dec 2010