“..จิตวิทยา..คนเล่นหุ้น..นั้นมีอยู่..
..ใครกำไร..กำไรตาม..มิใช่แปลก..
..ใครเจ๊งบ๊ง..ก็เจ๊งตาม..ยิ่งไม่แปลก..
..เหมือนแมงเม่า..ที่บินลง..กองไฟเอย..”
เชื่อแน่ว่านักลงทุนหรือผู้ที่สนใจลงทุนในตลาดหุ้นนั้น ถ้าไม่ใช้การวิเคราะห์หุ้นแบบพื้นฐาน (Fundamental Analysis) ก็คงต้องใช้การวิเคราห์หุ้นด้วยกราฟ (Technical Analysis) เป็นแน่แท้....ชิมิ เอ๊ย ใช่มั๊ยครับ? หุหุ
....แต่....ขอบอกครับ ขอบอก...!!
มีอีกหนึ่งวิธีเทรดที่ผมและเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าเทรดเดอร์ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะสิงห์เดย์เทรด เล็กสั้น ขยันซอยทั้งหลาย (เข้าเร็ว ออกเร็ว) ชอบใช้กัน...วิธีนี้ค่อนข้างยากที่จะเข้าใจ แต่ถ้าชำนาญแล้ว...กำไรมหาศาลแน่นอนครับ!!!
....จิตวิทยามวลชน...
เชื่อแน่ว่าทุกท่านย่อมเคยได้ยินคำๆนี้ผ่านหูมาบ้างพอสมควร...ส่วนใหญ่แล้วมักจะเห็นการใช้คำๆนี้ในแวดวงการเมือง หุหุ ซึ่งก็คล้ายๆกับการชักจูงให้มวลชนคล้อยตามที่ในสิ่งที่ผู้นำพูดและชักนำให้มวลชนเชื่อถือ และยอมคล้อยตาม...
ตลาดหุ้นก็เช่นเดียวกันครับ ไม่ได้แตกต่างปลีกแยกแต่อย่างใด...หนำซ้ำ! กลับเป็นแหล่งที่ใช้อธิบายคำว่า “จิตวิทยามวลชน” ได้ดีที่สุดแหล่งนึงเลยครับ..
เพราะอะไร? ก็เพราะตลาดหุ้นเป็นสถานที่ที่บรรจุอารมณ์ทุกอารมณ์ของมนุษย์เท่าที่จะมีได้น่ะซิครับ...ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์โลภ โกรธ หวาดกลัว ระแวง ดีใจ เสียใจ เศร้า เครียด เซ็งเป็ด แล้วก็อีกหลากหลายอารมณ์เท่าที่จะสรรหาได้ในโลกนี้...ล้วนแล้วแต่หาได้ในตลาดหุ้นครับ...
….ขนาดอารมณ์ “อกหัก” ก็ยังหาได้ในตลาดหุ้นเลยครับ...(อกหักเพราะขายหมูไง อิอิ)
สำหรับแนวคิดในเรื่องจิตวิทยามวลชนนั้น เป็นการวิเคราะห์ถึงพฤติกรรมและอารมณ์ของมวลชนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และพิจารณาถึงระดับของความมองโลกในแง่ดีของคนเหล่านี้จะสามารถทำให้เราเลือกโอกาสในการลงทุนได้ และโดยหลักการนี้เองจึงทำให้เกิด การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) ขึ้น (โอ้ววว...และแล้วเราก็ได้รู้ที่มาของ Technical Analysis จนได้ อิอิ)
ทีนี้เรามาลองดูกันว่า เจ้าจิตวิทยามวลชนเนี่ยะ...จะนำมาประยุกต์ใช้กับตลาดหุ้นได้อย่างไร...
เคยเห็นกันใช่มั๊ยครับ เวลาที่ราคาหุ้นเริ่มขึ้นกัน...โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นที่นักลงทุนไม่เคยสนใจเท่าไหร่...แรกเริ่มนั้นคนจะยังไม่สนใจเท่าไหร่ แต่พอผ่านไปเรื่อยๆ ราคาหุ้นตัวนั้น กลับดีดขึ้นต่อไปเรื่อยๆ จนทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มชำเลืองตามอง (กว่าจะหันมามอง ราคาหุ้นก็เริ่มดีดไปไกล ใกล้ปลายดอยแล้ว เอิ๊กๆๆ) สุดท้ายก็มิอาจห้ามใจกดปุ่มคำสั่งซื้อขายจนได้ครับ!!!
แล้วสังเกตุมั๊ยครับ? ว่าเมื่อไหร่ที่คุณซื้อหุ้นตัวแรงตัวนั้น..ราคามักจะไปต่อให้คุณตายใจ...จนคุณแทบจะคิดว่า “ชั้นจะรวยแล้ว!!” จนคุณหลงลืมบางสิ่งบางอย่างไปว่า..
....คุณกำลังตกหลุมพลาง!!...
สุดท้าย....อนิจจัง ทุกขัง ครับ...ติดดอย!! นั่นเอง ฮ่าๆๆ
ถูกต้องแล้วครับ...เวลาที่หุ้นขึ้นแรงๆฉันใด ยามหุ้นลง ราคาก็ย่อมดิ่งแรงฉันนั้น!!
นี่แหล่ะคือ “จิตวิทยามวลชน”!!! ยามแห่กันซื้อ ก็ซื้อจนบ้าคลั่ง...ยามตกใจขาย ก็ขายกันแผ่นดินถล่ม...นี่แหล่ะครับ วิธีที่เจ้ามือ หรือรายใหญ่เค้าใช้ในการทำกำไร หรือไม่ก็ดักเก็บของถูก..มันจะเป็นแบบนี้ไปตลอดกาล ตราบใดที่นักลงทุนยังใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ!!
..โดยจุดที่ทำให้เกิด “จิตวิทยามวลชน” ในตลาดหุ้นนั้น ก็คือ “ความบ้าคลั่ง” นั่นแหล่ะครับ
ทำไมต้องเป็น “ความบ้าคลั่ง” ด้วยหล่ะ?
ง่ายมากครับ..ก็เพราะความบ้าคลั่งมันเกิดจากการมองโลกในแง่ดีเกินไปนั่นเอง คิดว่าหุ้นที่ซื้อต้องไปต่อ ต้องขึ้นแรงๆได้อีก ก็เลยขาดสติและเหตุผลในการซื้อขายจนควบคุมไม่ได้...เมื่อควบคุมไม่ได้ จาก “มองโลกแง่ดี” ก็กลับกลายเป็น “ความบ้าคลั่ง” ได้ในที่สุด...
สรุปว่า “ความบ้าคลั่ง” ก็คือการที่เราไม่สามรถหวนคิดถึงบทเรียนที่เคยประสบพบพานในอดีต และใช้อารมณ์ในการลงทุนมากกว่าสติ
เมื่อภาวะ “ความบ้าคลั่ง” นี่ได้เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นหรือหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง...นักลงทุนก็จะมีความอ่อนไหว และเกิดประกายความหวังในตลาดหุ้นหรือหุ้นตัวนั้นๆ และเมื่อมีมวลชนเข้ามาซื้อขายหุ้นมากขึ้น (จะหนักไปทางซื้อมากกว่าขายในช่วงแรก) หุ้นที่ซื้อไว้ก็จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่าง ซึ่งเมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว...ราคาที่เหมาะสมของหุ้นตัวนี้ จะไม่ได้ขึ้นอยู่กับการการวิเคราะห์ด้วยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) อีกต่อไป เพราะเชื่อแน่ว่าคงไม่มีนักลงทุนคนใดจะขายหุ้นที่ราคา 80 บาท แม้ว่ามูลค่าพื้นฐานจะอยู่ที่ 70 บาทก็ตาม หากเขาเชื่อว่าราคาตลาดใน 1 เดือนข้างหน้าจะเป็น 100 บาท...มันจริงมั๊ยหล่ะครับ? เชื่อแน่ว่าแทบจะทุกคนต้องเคยมีความคิดแบบนี้แน่นอน...จะขายทำไมหล่ะ ก็ในเมื่อทั้งราคาและวอลุ่มซื้อขายมันดูดีซะขนาดนี้!! (สุดท้ายเป็นอย่างไร ก็แล้วแต่ฝีมือกันน่ะครับ เอิ๊กๆ)
ผมมีความเชื่ออย่างนึงที่ว่า..
“ถ้าเราทำอะไรตามคนอื่น เราจะได้ผลตอบแทนเท่ากับคนอื่น
ยามคนอื่นกำไร เราก็กำไรตาม
ยามคนอื่นขาดทุน เราก็ขาดทุนตาม
เหมือนแมงเม่าที่บินลงกองไฟทั้งฝูง”
เพราะฉะนั้นแล้ว...บางทีการที่เราไม่ทำตามคนอื่น ก็อาจจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการลงทุนก็ได้ครับ (ผมพิสูจน์มาแล้ว มันได้ผลจริงๆ) ขอแค่คุณสามารถฉวยโอกาสที่คนอื่นกลัว คุณก็ซื้อหุ้นที่ราคาต่ำ แล้วคุณก็ขายก็ต่อเมื่อคนอึกเหิมที่ยอมซื้อหุ้นราคาสูงต่อจากคุณด้วยความเต็มใจนั่นเอง...แค่นี้แหล่ะครับ...ฟังดูง๊ายง่าย แต่ทำยากโคตรๆ (ถ้ามันง่ายจริง ป่านนี้มีเศรษฐีเดินกันว่อนตลาดสดแล้วครับ ฮ่าๆๆ)
แล้วสภาวะตลาดหุ้น ณ ตอนนี้ (ปลายปี 2010) เป็นอย่างไรบ้างหล่ะ?
แล้วสภาวะตลาดหุ้น ณ ตอนนี้ (ปลายปี 2010) เป็นอย่างไรบ้างหล่ะ?
….“จิตวิทยามวลชน” อธิบายได้เต็มๆครับ...!!
เพราะตลาดหุ้นตอนนี้เป็นตลาดหุ้นที่คึกคักมาตั้งแต่กลางปีที่แล้ว ดัชนีหุ้นปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆจนทะลุ 1,000 จุดได้อย่างสวยงาม พร้อมทั้งมีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์
ผมอยากให้คุณมองและสังเกตุนักลงทุนรายย่อยในตลาดหุ้นน่ะครับ เพราะคุณจะเห็นอาการดีใจเหมือนคนถูกหวย ซื้อหุ้นตัวใดก็พาลได้กำไรไปซะทุกที จนทำให้คิดว่าการหาเงินจากตลาดหุ้นนั้นดูเหมือนจะง่ายดายเสียจริงๆ ทำให้คนอื่นๆ ที่อยู่นอกตลาดหุ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มคนที่เคยต่อว่าคุณว่า การเล่นหุ้นคือหนทางสู่การหมดตัว!! กลับเข้ามาสนใจลงทุนในตลาดหุ้น (ทั้งๆที่อคติกับตลาดหุ้นมาตลอดเวลา)
ก็เพราะความที่เห็นคนอื่นลงทุนในหุ้นแล้วกำไร เค้าเหล่านั้นก็เลยอดใจไม่ไหว ต้องกระโดดเข้ามาร่วมวงซื้อขายหุ้นทำกำไรกับเขาบ้าง
จุดนี้แหล่ะครับ คือจุดที่อันตรายที่สุดของตลาดหุ้น!!
เพราะตลาดหุ้น ณ ปัจจุบันนั้น หุ้นบางตัวมีมูลค่าการซื้อขายสูงมากๆ ขณะเดียวกันราคาหุ้นก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่ากลัว แต่สิ่งนี้หล่ะครับ ที่จะดึงดูดให้นักลงทุนรายย่อยหันมาสนใจและซื้อหุ้นตาม เมื่อนักลงทุนเข้ามาซื้อหุ้นมากขึ้น ราคาหุ้นก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้น จนเมื่อราคาหุ้นถูกไล่ไปถึงจุดหนึ่ง รายใหญ่หรือเจ้ามือมักเทขายแบบทุบทิ้ง
ตรงนี้แหล่ะครับ ที่จะเป็นจุดตอกเสาเข็มสร้างหมู่บ้าน “ชาวดอย” ขึ้น
เพราะราคาหุ้นก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว นักลงทุนที่เข้าไปซื้อทีหลัง มีโอกาสสูงมากที่จะกลายเป็น “เหยื่ออันโอชะ” เพราะซื้อหุ้นในราคาสูงเฉียดยอดดอย แล้วยิ่งมาเจอกันทุบหุ้น แถมด้วยมูลค่าการซื้อขายที่น้อยลงจนน่าตกใจ (ก็เจ้ามือมันทุบหุ้นไปแล้ว ใครจะมาเล่นต่อหล่ะ ฮ่วย!) ราคาหุ้นที่ถือไว้ก็ลดลงๆ สภาวะเช่นนี้นักลงทุนรายย่อยจะรู้สึกห่อเหี่ยว แทบจะไม่มีกำลังใจในการซื้อขายหุ้นแต่อย่างไร บางคนขาดทุนหนักจนต้องเลิกเล่นหุ้นไปเลยก็มี ช่างน่าเศร้ายิ่งนัก!!
....เห็นมั๊ยครับว่า...แค่คุณรู้วิธีการเคลื่อนไหวของ “จิตวิทยามวลชน”…คุณก็เอาตัวรอด หรือไม่ก็ทำกำไรจากตลาดหุ้นได้แน่นอน...
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มคนที่เป็น “รายใหญ่” หรือ “เจ้ามือ” นั้น...ช้อบชอบครับ!! เพราะเค้ารู้ว่านักลงทุนรายย่อยนี่มักจะชอบทำอะไรตามคนหมู่มาก แต่ไม่เคยทำกำไรได้เหมือนคนกลุ่มน้อยนั่นเอง เอิ๊กๆๆ
มีผู้รู้ท่านนึง (ผมลืมชื่อเค้าไป ขออภัยด้วยคร้าบ) กล่าวเอาไว้ว่า
“ตลาดหุ้นคือตัวเรา ตัวเราคือตลาดหุ้น เอาชนะใจตัวเองได้คือชนะตลาดหุ้นได้”
ขอแค่คุณไม่โลภจนเกินพอดี เมื่อนั้นคุณก็จะอยู่ตลาดได้ชั่วชีวิตการลงทุนครับ
ทิ้งท้ายด้วยแง่คิดที่ว่า
“การทำในสิ่งที่คนอื่นไม่ทำ เป็นหลักในการเข้าซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าในช่วงเวลาที่ลงตัวที่สุด เพราะไม่มีใครมาแย่งคุณซื้อแน่ๆ...ที่สำคัญ ยิ่งยามที่มีแต่คนขาย คุณจะได้ของดีราคาถูกมากมาย อีกทั้งคนส่วนใหญ่มักจะสนใจหุ้นเมื่อคนอื่นๆ สนใจ แท้จริงแล้วหุ้นที่น่าสนใจคือหุ้นที่คนอื่นๆ ไม่สนใจ คุณไม่สามารถที่จะซื้อหุ้นที่กำลังได้รับความนิยม และจะได้รับผลตอบแทนมหาศาลจากมันอย่างที่คุณหวังอย่างแน่นอน”
“การทำในสิ่งที่คนอื่นไม่ทำ เป็นหลักในการเข้าซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าในช่วงเวลาที่ลงตัวที่สุด เพราะไม่มีใครมาแย่งคุณซื้อแน่ๆ...ที่สำคัญ ยิ่งยามที่มีแต่คนขาย คุณจะได้ของดีราคาถูกมากมาย อีกทั้งคนส่วนใหญ่มักจะสนใจหุ้นเมื่อคนอื่นๆ สนใจ แท้จริงแล้วหุ้นที่น่าสนใจคือหุ้นที่คนอื่นๆ ไม่สนใจ คุณไม่สามารถที่จะซื้อหุ้นที่กำลังได้รับความนิยม และจะได้รับผลตอบแทนมหาศาลจากมันอย่างที่คุณหวังอย่างแน่นอน”
ดังนั้นแล้ว...
“ควรกล้าในยามที่คนอื่นกลัวสุดขีด แล้วควรกลัวสุดขั้วในยามที่คนอื่นบ้าคลั่งถึงขีดสุด”
ในการเทรดโดยใช้จิตวิทยามวลชนนั้น คุณไม่จำเป็นต้องเป็นอัจฉริยะหรอกครับ เพราะบางทีคนที่ไอคิวสูงลิ่ว ก็สามารถแพ้พ่ายให้กับคนที่ไอคิวต่ำกว่าได้ครับ....สำคัญมันอยู่ที่ EQ ต่างหากครับ!! รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง!!
Wizard Kid
11 Dec 2010
2:09 น.
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ นะครับ :D
ReplyDeleteชอบประโยค “ตลาดหุ้นคือตัวเรา ตัวเราคือตลาดหุ้น เอาชนะใจตัวเองได้คือชนะตลาดหุ้นได้” มากเลย ขอยืมไปใช้เป็น status facebook หน่อยนะครับ ^^
ขอบคุณครับ...และก็ยินดีมากๆครับ ^__^
ReplyDelete