"7 เทคนิค ฟันกำไร หุ้นเดย์เทรด"

"7 เทคนิค ฟันกำไร หุ้นเดย์เทรด"
ติดตามความเคลื่อนไหวของหนังสือ "7 เทคนิค ฟันกำไร หุ้นเดย์เทรด" คลิ๊กโลดครับ

Saturday, December 11, 2010

รู้เขา รู้เรา..จิตวิทยามวลชนกับความบ้าคลั่ง...สำคัญไฉน!! ผมใช้ได้ คุณก็ใช้ได้!! (One Night Stand Discussion # 38)


..จิตวิทยา..คนเล่นหุ้น..นั้นมีอยู่..
..ใครกำไร..กำไรตาม..มิใช่แปลก..
..ใครเจ๊งบ๊ง..ก็เจ๊งตาม..ยิ่งไม่แปลก..
..เหมือนแมงเม่า..ที่บินลง..กองไฟเอย..

เชื่อแน่ว่านักลงทุนหรือผู้ที่สนใจลงทุนในตลาดหุ้นนั้น ถ้าไม่ใช้การวิเคราะห์หุ้นแบบพื้นฐาน (Fundamental Analysis) ก็คงต้องใช้การวิเคราห์หุ้นด้วยกราฟ (Technical Analysis) เป็นแน่แท้....ชิมิ เอ๊ย ใช่มั๊ยครับ? หุหุ

....แต่....ขอบอกครับ ขอบอก...!!

มีอีกหนึ่งวิธีเทรดที่ผมและเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าเทรดเดอร์ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะสิงห์เดย์เทรด เล็กสั้น ขยันซอยทั้งหลาย (เข้าเร็ว ออกเร็ว) ชอบใช้กัน...วิธีนี้ค่อนข้างยากที่จะเข้าใจ แต่ถ้าชำนาญแล้ว...กำไรมหาศาลแน่นอนครับ!!!

....จิตวิทยามวลชน...

เชื่อแน่ว่าทุกท่านย่อมเคยได้ยินคำๆนี้ผ่านหูมาบ้างพอสมควร...ส่วนใหญ่แล้วมักจะเห็นการใช้คำๆนี้ในแวดวงการเมือง หุหุ ซึ่งก็คล้ายๆกับการชักจูงให้มวลชนคล้อยตามที่ในสิ่งที่ผู้นำพูดและชักนำให้มวลชนเชื่อถือ และยอมคล้อยตาม...

ตลาดหุ้นก็เช่นเดียวกันครับ ไม่ได้แตกต่างปลีกแยกแต่อย่างใด...หนำซ้ำ! กลับเป็นแหล่งที่ใช้อธิบายคำว่า จิตวิทยามวลชนได้ดีที่สุดแหล่งนึงเลยครับ..

เพราะอะไร? ก็เพราะตลาดหุ้นเป็นสถานที่ที่บรรจุอารมณ์ทุกอารมณ์ของมนุษย์เท่าที่จะมีได้น่ะซิครับ...ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์โลภ โกรธ หวาดกลัว ระแวง ดีใจ เสียใจ เศร้า เครียด เซ็งเป็ด แล้วก็อีกหลากหลายอารมณ์เท่าที่จะสรรหาได้ในโลกนี้...ล้วนแล้วแต่หาได้ในตลาดหุ้นครับ...

….ขนาดอารมณ์ อกหักก็ยังหาได้ในตลาดหุ้นเลยครับ...(อกหักเพราะขายหมูไง อิอิ)

สำหรับแนวคิดในเรื่องจิตวิทยามวลชนนั้น เป็นการวิเคราะห์ถึงพฤติกรรมและอารมณ์ของมวลชนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และพิจารณาถึงระดับของความมองโลกในแง่ดีของคนเหล่านี้จะสามารถทำให้เราเลือกโอกาสในการลงทุนได้ และโดยหลักการนี้เองจึงทำให้เกิด การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) ขึ้น (โอ้ววว...และแล้วเราก็ได้รู้ที่มาของ Technical Analysis จนได้ อิอิ)

ทีนี้เรามาลองดูกันว่า เจ้าจิตวิทยามวลชนเนี่ยะ...จะนำมาประยุกต์ใช้กับตลาดหุ้นได้อย่างไร...
เคยเห็นกันใช่มั๊ยครับ เวลาที่ราคาหุ้นเริ่มขึ้นกัน...โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นที่นักลงทุนไม่เคยสนใจเท่าไหร่...แรกเริ่มนั้นคนจะยังไม่สนใจเท่าไหร่ แต่พอผ่านไปเรื่อยๆ ราคาหุ้นตัวนั้น กลับดีดขึ้นต่อไปเรื่อยๆ จนทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มชำเลืองตามอง (กว่าจะหันมามอง ราคาหุ้นก็เริ่มดีดไปไกล ใกล้ปลายดอยแล้ว เอิ๊กๆๆ) สุดท้ายก็มิอาจห้ามใจกดปุ่มคำสั่งซื้อขายจนได้ครับ!!!

แล้วสังเกตุมั๊ยครับ? ว่าเมื่อไหร่ที่คุณซื้อหุ้นตัวแรงตัวนั้น..ราคามักจะไปต่อให้คุณตายใจ...จนคุณแทบจะคิดว่า ชั้นจะรวยแล้ว!!” จนคุณหลงลืมบางสิ่งบางอย่างไปว่า..

....คุณกำลังตกหลุมพลาง!!...

สุดท้าย....อนิจจัง ทุกขัง ครับ...ติดดอย!! นั่นเอง ฮ่าๆๆ

ถูกต้องแล้วครับ...เวลาที่หุ้นขึ้นแรงๆฉันใด ยามหุ้นลง ราคาก็ย่อมดิ่งแรงฉันนั้น!!

นี่แหล่ะคือ จิตวิทยามวลชน”!!! ยามแห่กันซื้อ ก็ซื้อจนบ้าคลั่ง...ยามตกใจขาย ก็ขายกันแผ่นดินถล่ม...นี่แหล่ะครับ วิธีที่เจ้ามือ หรือรายใหญ่เค้าใช้ในการทำกำไร หรือไม่ก็ดักเก็บของถูก..มันจะเป็นแบบนี้ไปตลอดกาล ตราบใดที่นักลงทุนยังใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ!!
..โดยจุดที่ทำให้เกิด จิตวิทยามวลชนในตลาดหุ้นนั้น ก็คือ ความบ้าคลั่งนั่นแหล่ะครับ

ทำไมต้องเป็น ความบ้าคลั่งด้วยหล่ะ?

ง่ายมากครับ..ก็เพราะความบ้าคลั่งมันเกิดจากการมองโลกในแง่ดีเกินไปนั่นเอง คิดว่าหุ้นที่ซื้อต้องไปต่อ ต้องขึ้นแรงๆได้อีก ก็เลยขาดสติและเหตุผลในการซื้อขายจนควบคุมไม่ได้...เมื่อควบคุมไม่ได้ จาก มองโลกแง่ดีก็กลับกลายเป็น ความบ้าคลั่งได้ในที่สุด...

สรุปว่า ความบ้าคลั่งก็คือการที่เราไม่สามรถหวนคิดถึงบทเรียนที่เคยประสบพบพานในอดีต และใช้อารมณ์ในการลงทุนมากกว่าสติ

เมื่อภาวะ ความบ้าคลั่งนี่ได้เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นหรือหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง...นักลงทุนก็จะมีความอ่อนไหว และเกิดประกายความหวังในตลาดหุ้นหรือหุ้นตัวนั้นๆ และเมื่อมีมวลชนเข้ามาซื้อขายหุ้นมากขึ้น (จะหนักไปทางซื้อมากกว่าขายในช่วงแรก) หุ้นที่ซื้อไว้ก็จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่าง ซึ่งเมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว...ราคาที่เหมาะสมของหุ้นตัวนี้ จะไม่ได้ขึ้นอยู่กับการการวิเคราะห์ด้วยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) อีกต่อไป เพราะเชื่อแน่ว่าคงไม่มีนักลงทุนคนใดจะขายหุ้นที่ราคา 80 บาท แม้ว่ามูลค่าพื้นฐานจะอยู่ที่ 70 บาทก็ตาม หากเขาเชื่อว่าราคาตลาดใน 1 เดือนข้างหน้าจะเป็น 100 บาท...มันจริงมั๊ยหล่ะครับ? เชื่อแน่ว่าแทบจะทุกคนต้องเคยมีความคิดแบบนี้แน่นอน...จะขายทำไมหล่ะ ก็ในเมื่อทั้งราคาและวอลุ่มซื้อขายมันดูดีซะขนาดนี้!! (สุดท้ายเป็นอย่างไร ก็แล้วแต่ฝีมือกันน่ะครับ เอิ๊กๆ)

ผมมีความเชื่ออย่างนึงที่ว่า..

ถ้าเราทำอะไรตามคนอื่น เราจะได้ผลตอบแทนเท่ากับคนอื่น
 ยามคนอื่นกำไร เราก็กำไรตาม
ยามคนอื่นขาดทุน เราก็ขาดทุนตาม
เหมือนแมงเม่าที่บินลงกองไฟทั้งฝูง

เพราะฉะนั้นแล้ว...บางทีการที่เราไม่ทำตามคนอื่น ก็อาจจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการลงทุนก็ได้ครับ (ผมพิสูจน์มาแล้ว มันได้ผลจริงๆ) ขอแค่คุณสามารถฉวยโอกาสที่คนอื่นกลัว คุณก็ซื้อหุ้นที่ราคาต่ำ  แล้วคุณก็ขายก็ต่อเมื่อคนอึกเหิมที่ยอมซื้อหุ้นราคาสูงต่อจากคุณด้วยความเต็มใจนั่นเอง...แค่นี้แหล่ะครับ...ฟังดูง๊ายง่าย แต่ทำยากโคตรๆ (ถ้ามันง่ายจริง ป่านนี้มีเศรษฐีเดินกันว่อนตลาดสดแล้วครับ ฮ่าๆๆ)

แล้วสภาวะตลาดหุ้น ณ ตอนนี้ (ปลายปี 2010) เป็นอย่างไรบ้างหล่ะ?

 ….“จิตวิทยามวลชนอธิบายได้เต็มๆครับ...!!

เพราะตลาดหุ้นตอนนี้เป็นตลาดหุ้นที่คึกคักมาตั้งแต่กลางปีที่แล้ว ดัชนีหุ้นปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆจนทะลุ 1,000 จุดได้อย่างสวยงาม พร้อมทั้งมีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์

ผมอยากให้คุณมองและสังเกตุนักลงทุนรายย่อยในตลาดหุ้นน่ะครับ เพราะคุณจะเห็นอาการดีใจเหมือนคนถูกหวย ซื้อหุ้นตัวใดก็พาลได้กำไรไปซะทุกที จนทำให้คิดว่าการหาเงินจากตลาดหุ้นนั้นดูเหมือนจะง่ายดายเสียจริงๆ ทำให้คนอื่นๆ ที่อยู่นอกตลาดหุ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มคนที่เคยต่อว่าคุณว่า การเล่นหุ้นคือหนทางสู่การหมดตัว!! กลับเข้ามาสนใจลงทุนในตลาดหุ้น (ทั้งๆที่อคติกับตลาดหุ้นมาตลอดเวลา)

ก็เพราะความที่เห็นคนอื่นลงทุนในหุ้นแล้วกำไร เค้าเหล่านั้นก็เลยอดใจไม่ไหว ต้องกระโดดเข้ามาร่วมวงซื้อขายหุ้นทำกำไรกับเขาบ้าง

จุดนี้แหล่ะครับ คือจุดที่อันตรายที่สุดของตลาดหุ้น!!
เพราะตลาดหุ้น ณ ปัจจุบันนั้น หุ้นบางตัวมีมูลค่าการซื้อขายสูงมากๆ ขณะเดียวกันราคาหุ้นก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่ากลัว แต่สิ่งนี้หล่ะครับ ที่จะดึงดูดให้นักลงทุนรายย่อยหันมาสนใจและซื้อหุ้นตาม เมื่อนักลงทุนเข้ามาซื้อหุ้นมากขึ้น ราคาหุ้นก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้น จนเมื่อราคาหุ้นถูกไล่ไปถึงจุดหนึ่ง รายใหญ่หรือเจ้ามือมักเทขายแบบทุบทิ้ง

ตรงนี้แหล่ะครับ ที่จะเป็นจุดตอกเสาเข็มสร้างหมู่บ้าน ชาวดอยขึ้น

เพราะราคาหุ้นก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว นักลงทุนที่เข้าไปซื้อทีหลัง มีโอกาสสูงมากที่จะกลายเป็น เหยื่ออันโอชะเพราะซื้อหุ้นในราคาสูงเฉียดยอดดอย แล้วยิ่งมาเจอกันทุบหุ้น แถมด้วยมูลค่าการซื้อขายที่น้อยลงจนน่าตกใจ (ก็เจ้ามือมันทุบหุ้นไปแล้ว ใครจะมาเล่นต่อหล่ะ ฮ่วย!) ราคาหุ้นที่ถือไว้ก็ลดลงๆ สภาวะเช่นนี้นักลงทุนรายย่อยจะรู้สึกห่อเหี่ยว แทบจะไม่มีกำลังใจในการซื้อขายหุ้นแต่อย่างไร บางคนขาดทุนหนักจนต้องเลิกเล่นหุ้นไปเลยก็มี ช่างน่าเศร้ายิ่งนัก!!

....เห็นมั๊ยครับว่า...แค่คุณรู้วิธีการเคลื่อนไหวของ จิตวิทยามวลชน”…คุณก็เอาตัวรอด หรือไม่ก็ทำกำไรจากตลาดหุ้นได้แน่นอน...

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มคนที่เป็น รายใหญ่หรือ เจ้ามือนั้น...ช้อบชอบครับ!! เพราะเค้ารู้ว่านักลงทุนรายย่อยนี่มักจะชอบทำอะไรตามคนหมู่มาก แต่ไม่เคยทำกำไรได้เหมือนคนกลุ่มน้อยนั่นเอง เอิ๊กๆๆ
มีผู้รู้ท่านนึง (ผมลืมชื่อเค้าไป ขออภัยด้วยคร้าบ) กล่าวเอาไว้ว่า

ตลาดหุ้นคือตัวเรา ตัวเราคือตลาดหุ้น เอาชนะใจตัวเองได้คือชนะตลาดหุ้นได้

ขอแค่คุณไม่โลภจนเกินพอดี เมื่อนั้นคุณก็จะอยู่ตลาดได้ชั่วชีวิตการลงทุนครับ

ทิ้งท้ายด้วยแง่คิดที่ว่า

    “การทำในสิ่งที่คนอื่นไม่ทำ เป็นหลักในการเข้าซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าในช่วงเวลาที่ลงตัวที่สุด เพราะไม่มีใครมาแย่งคุณซื้อแน่ๆ...ที่สำคัญ ยิ่งยามที่มีแต่คนขาย คุณจะได้ของดีราคาถูกมากมาย อีกทั้งคนส่วนใหญ่มักจะสนใจหุ้นเมื่อคนอื่นๆ สนใจ แท้จริงแล้วหุ้นที่น่าสนใจคือหุ้นที่คนอื่นๆ ไม่สนใจ คุณไม่สามารถที่จะซื้อหุ้นที่กำลังได้รับความนิยม และจะได้รับผลตอบแทนมหาศาลจากมันอย่างที่คุณหวังอย่างแน่นอน

ดังนั้นแล้ว...

ควรกล้าในยามที่คนอื่นกลัวสุดขีด แล้วควรกลัวสุดขั้วในยามที่คนอื่นบ้าคลั่งถึงขีดสุด

ในการเทรดโดยใช้จิตวิทยามวลชนนั้น คุณไม่จำเป็นต้องเป็นอัจฉริยะหรอกครับ เพราะบางทีคนที่ไอคิวสูงลิ่ว ก็สามารถแพ้พ่ายให้กับคนที่ไอคิวต่ำกว่าได้ครับ....สำคัญมันอยู่ที่ EQ ต่างหากครับ!! รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง!!

Wizard Kid
11 Dec 2010
2:09 น.

2 comments:

  1. ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ นะครับ :D

    ชอบประโยค “ตลาดหุ้นคือตัวเรา ตัวเราคือตลาดหุ้น เอาชนะใจตัวเองได้คือชนะตลาดหุ้นได้” มากเลย ขอยืมไปใช้เป็น status facebook หน่อยนะครับ ^^

    ReplyDelete
  2. ขอบคุณครับ...และก็ยินดีมากๆครับ ^__^

    ReplyDelete