ที่มา: http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=15411
เป็นจะได๋ครับวันนี้ ร่ำรวยกันแบบล่ำซ่ำกันแน่ๆเลยสำหรับขาหุ้น Blue Chip ทุกท่าน ก็เล่นขึ้นเอาๆ วันละ 4-10% กันแทบทุกตัวมาแบบนี้ 3-4 วันแล้ว... $ $ $ กันเห็นๆ เอิ๊กๆๆ
เป็นจะได๋ครับวันนี้ ร่ำรวยกันแบบล่ำซ่ำกันแน่ๆเลยสำหรับขาหุ้น Blue Chip ทุกท่าน ก็เล่นขึ้นเอาๆ วันละ 4-10% กันแทบทุกตัวมาแบบนี้ 3-4 วันแล้ว... $ $ $ กันเห็นๆ เอิ๊กๆๆ
ไหนๆตลาดหุ้นก็ขึ้นกันทำ New High ทุกวันแบบนี้ วันนี้ขอเอาคอขึ้นเขียงให้เชือด ด้วยการมองแบบ “ชาวสวน” บ้างน่ะครับ จะเป็นมุมมองของผมเพียวๆ ไม่มีวงใน ไม่มีผลประโยชน์ซับซ้อนใดๆ เนื่องจากผมเป็น prop trade สไตล์ Day Trading ด้วย ดังนั้นเรื่องที่จะเขียนต่อไปนี้ จะเกิดจากการมองโลกแบบ “ชาวสวน” ของผมครับ เนื่องจากผมเชื่อว่า
“เมื่อตลาดหุ้นเข้ามาสู่จุดที่หาข่าวร้ายไม่เจอ...นั่นแหล่ะคือ จุดที่อันตรายที่สุด!!”
ค่าเงินบาทนี่มัน “แข็งจังฮู้!” ตลาดหุ้นเลยแข็งโป้กตาม
แล้ว...ถ้ามัน “อ่อนปวกเปียกหล่ะ?”….เฉลยอยู่ข้างล่างครับ
จากที่ผมได้เช็คข่าวมา ปรากฏว่าค่าเงินบาทได้ทำสถิติแข็งค่ามากที่สุดในรอบ 29 เดือนที่ระดับ 31.10-31.15 บาทต่อดอลลาห์สหรัฐ ปัจจัยหลักๆที่ทำให้ค่าเงินบ้านเราแข็งได้แกร่งขนาดนี้ มีไม่กี่ปัจจัยในความคิดของผมหลักๆ คิดแบบเด็ก คิดแบบง่ายๆก็มี
- การอ่อนหยวบ ปวกเปียกของดอลล่าห์สหรัฐ
- และกระแสเงินไหลเข้า หรือ Fund Flows ชุดใหญ่เข้าสู่ภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะในแถบอาเซียน ได้แก่ สิงค์โปร์ อินโดนีเซีย ฟิลลิปปินส์ และ ประเทศไทย!!
สำหรับผมแล้ว สาเหตุที่ตลาดหุ้นบ้านเรามันดีดกระจายไร้แรงดึงดูดให้ดัชนีลงต่ำๆนั้น ก็คงเป็นเพราะ ค่าเงินบาทแข็ง นี่แหล่ะครับ
แล้วทำไม ธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่เข้ามาช่วยเหลือหรือมีมาตรการใดๆ ที่จะพยุงค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าไปกว่านี้ เพราะว่ายิ่งค่าเงินบาทแข็ง ตลาดหุ้นอาจจะยิ่งขึ้นก็จริง แต่กลุ่ม “ผู้ส่งออก” นี่แหล่ะครับ จะเป็นกลุ่มแรกที่เละตุ้มเป๊ะ การส่งออกมีปัญหาแน่นอน แล้วผลกระทบนั้นก็จะกระทบไปเป็นคลื่นๆ เลยครับ ไม่ว่าจะการผลิตภายในประเทศ แรงงาน แล้วสุดท้าย GDP ของประเทศก็จะมีปัญหา....สุดท้ายเมื่อ GDP เละ! คุณคิดว่าตลาดหุ้นจะไปต่อได้อย่างไร?
เมื่อมาลองมองตรงจุดนี้แล้ว ยังไงเสีย ธนาคารแห่งประเทศไทย ย่อมต้องทำอะไรสักอย่างในอนาคตอันใกล้นี้อย่างแน่นอน.....ซึ่งวิธีการควบคุมค่าเงินบาท จากความรู้อันน้อยนิดของเด็กหนุ่มอย่างผม ก็คงประมาณว่า
- ประกาศขึ้นดอกเบี้ย เพื่อชะละการขยายตัวทางเศรษฐกิจและค่าเงินเฟ้อ โดยแทบจะทุกครั้งที่มีการประกาศปรับดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้น ดัชนีตลาดหลักทรัพย์บ้านเราก็เริ่มจะไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่นักครับ
- การแทรกแซงค่าเงิน อัดฉีดเงินเข้าไปๆๆ ง่ายๆเลยครับ แต่ปัญหาคือว่า ถ้าเกิดพยุงไม่ไหวขึ้นมา แล้วค่าเงินเราโดนถล่มจากรอบด้าน เราก็เปลืองเงินโดยเปล่าประโยชน์
แต่ที่เด็ดยิ่งกว่า และจะเป็นมาตรการที่นักลงทุนอย่างเราๆ ไม่อยากให้เกิดขึ้นอีกแล้ว (แต่ prop trade กับชาว day trade รวมไปถึงชาวสวนรอคอย) ก็คือ การมีมาตรการควบคุมเงินทุนไหลเข้า ครับ...ความจริงทาง ธปท. จะทำแบบเรื่อยๆ ไม่โผงผางก็ได้ครับ เพื่อความสบายใจกับทุกฝ่าย....
แต่....!! มิตรสหายทุกท่านจำวันวิปโยควันหนึ่งของตลาดหุ้นไทยได้ใช่มั๊ยครับ ได้ชิมิครับ ชิมิ ชิมิ ^___^
.....แม่นแล้วครับ!....วันที่เรียกว่า “เทพอุ๋ย 30%”
เป็นวันที่ SET ร่วงกราวรูดวันเดียว 108 จุด ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด Super Panic Sell กันไปเป็นแทบๆ มูลค่าความเสียหายราวๆ 8.1 แสนล้านบาทเลยน่ะครับ เท่าที่ทราบมา เหตุเกิดเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2549 (เอ๊ะ! นี่เราก็อยู่ใกล้ๆ สิ้นปีแล้วนี่หนา...ระวังจะสิ้นใจรอนๆ น่ะครับ เอิ๊กๆๆ) ผมไม่รู้เหตุผลกลใดน่ะครับ ที่อยู่ๆ ก็มีการประกาศมาตรการกันสำรองเงินทุนไหลเข้า 30 เปอร์เซนต์ กันโต้งๆแบบนั้น...เสียหานหลายแสนจริงๆ (ตอนนั้นเผอิญ ไปออกค่ายอาสา ก็เลย ไม่รู้เรื่องอะไรกับเค้าเลยว่า มีการเข้าค่าย “สาหัสสากรรจ์” ในตลาดหุ้น เอิ๊กๆ)
โอกาสที่จะเกิดย่อมมีอีกครั้ง ผมมาลองคิดๆดูแล้ว ก็ได้ข้อสรุปคร่าวๆว่า
- ธปท. จะโดนกดดันจากทุกภาคฝ่าย ให้เข้ามากระตุ้นและพยุงค่าเงินบาทแน่นอน ไม่ว่าจะทางตรงจากภาคเอกชน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้ส่งออก กลุ่มอุตสาหกรรม หรือทางอ้อมจากภาครัฐบาล (อันนี้ไม่ขอออกความเห็นครับ เดี๋ยวจะโดนหิ้วปีก เหอๆๆ)
- เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว..มันก็คล้ายๆกับคนที่ถูกกดดันมากๆ แล้วถ้าคุมสติไม่อยู่ โอกาสที่จะระเบิดออกมาก็มีสูงครับ ไม่แน่อยู่ๆ เราอาจจะเจอการประกาศมาตรการอะไรแรงๆ ที่สามารถกระตุกตลาดหุ้น ตลาดทุนบ้านเราได้แบบ ช็อคประเทศ! กันไปเลยก็เป็นไปได้
...ผมไม่อยากให้วันเช่นนี้เกิดขึ้นอีกแล้วกับตลาดหุ้นไทยครับ แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก ขนาดวันตัดสินมาบตาพุด ยังมีคนตีความผิด มองโลกแง่ร้ายสุดโต่ง ขายกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์กันโต้งๆ สุดท้ายก็ดีดกลับมาที่เดิม และแรงกว่าเดิม...
...แต่...สำหรับผม ความคิดผมล้วนๆน่ะครับ ผิดพลาดกันได้...ตลาดหุ้นตอนนี้ ถ้าคุณไม่ได้หุ้นต้นทุนต่ำๆ แล้วเพิ่งมาเข้าซื้อเมื่ออาทิตย์สองอาทิตย์ที่ผ่านมาเนี่ยะ...ต้องระวังแบบสุดๆ หมูฉึก ฉึก เลยครับ...เพราะยามทะเลสงบ คลื่นลมเงียบสงัดไร้วี่แววของสัญญาณอันตรายใดๆ...เวลานั้นแหล่ะครับ พายุลูกใหญ่กำลังก่อตัว เพียงแต่รอวันที่จะซัดกระหน่ำ...ก็เท่านั้นเอง...
..ผมไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ดั่งเช่นปี 2540 ที่มีการประกาศลอยตัวค่าเงินบาทแบบเฉียบพลัน ไม่อยากเห็นดอกเบี้ยนโยบายพุ่ง 24% ไม่อยากเห็นห้องค้าหุ้นต้องโดนโละ 72 แห่ง เหมือนที่เกิดขึ้นในปีนั้นครับ ถึงแม้สถานการณ์จะไม่เหมือนกันมากนัก แต่..ยิ่งฟองสบู่ใกล้แตกเท่าไหร่..อาการล้มทั้งยืนย่อมเกิดขึ้นได้สูงเช่นกันครับ...สาธุๆๆๆ อย่าให้เกิดขึ้นอีกเล้ยยยยย (คงไม่เกิดหรอกครับ เพราะว่าคนเราย่อมเรียนรู้ความผิดพลาดในอดีตมาแก้ไข เพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีกครั้งในวันข้างหน้า)
..บทความนี้ ผมไม่ได้มีเจตนาที่จะกล่าวโทษ หรือฟันธงอะไรในตลาดหุ้นน่ะครับ แค่อยากจะฝากแง่คิดให้มิตรสหายทุกๆท่านว่า
“ไม่ว่าจะลงทุนหรือทำอะไร จงอย่าลืมคำว่า มีสติ และ ไม่ประมาท”
..ไม่มีอะไรสวยหรูและงดงามตลอดกาลหรอกครับ ทุกอย่างย่อมมีขึ้นและลงเป็นวัฐจักรของมัน..ขอแค่ให้เราเตรียมพร้อม มีแบบแผนที่แน่นอน สุดท้ายแล้วคุณก็คือ “ผู้ชนะ” ตัวจริงครับ
เมื่อหุ้นสูง..ก็ย่อมหนาว..มีสิทธิ์ดิ่ง..
หากไม่เมา..เราไม่เจ๊ง..กำไรหนา..
หากประมาท..คิดสบาย..โอ้กานดา..
เจ๊งแน่หนา..พ่อมดน้อย..ขอเตือนเอย
Wizard Kid (aka.เทรดเดอร์เจ้ากวี)
6 September 2010
22:12 น.
6 September 2010
22:12 น.
เป็น trader น่าจะหมั่นศึกษาเรื่อง macroeconomic บ้างนะครับ หึหึ
ReplyDelete??? หมายความว่าอย่างไรเหรอครับ??
ReplyDeleteจริงๆผมไม่เก่งเรื่อง macroeconomic หรอกครับ แต่แค่คิดว่า เมื่อคนเรามั่นใจเกินไป อะไรๆดูดีไปหมด นั่นแหล่ะคือจุดอันตราย!!
และผมคิดว่าข้อสันนิษฐานที่ผมได้แสดงความคิดเห็นในบทความนี้เมื่อวันที่ 6 Sep 2010 นั้น...ก็ตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดีว่า แค่นักลงทุนกังวล SET ก็เกิด panic sell อย่างชัดเจน เท่าที่เห็นก็มี 2 วันครับ...
รบกวนชี้แจง comment ของคุณ Anonymous ด้วยขอรับกระผม..^__^