Wizard Kid: มาต่อกันเลยน่ะครับ...อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญในการที่จะประสบความสำเร็จในการลงทุนนั้น ก็คือ “มีอาวุธประจำตัว” พี่ๆผู้ชายทุกๆท่าน อาจจะบอกว่าจะมีอีกทำไม ในเมื่อก็มีอาวุธประจำตัว ประจำกายกันทุกคนอยู่แล้ว....ตึ๊ง!!!! แหะแหะ ล้อเล่นครับ อย่าคิดลึกๆ ^__^
ภาววิทย์: ขนาดในงานสัมมนา มันยังปล่อยมุขเรื่อยราด ไม่เป็นที่ไม่เป็นทางอีก..ฮ่วยย!
Wizard Kid: ไม่ใช่สุนัขน่ะคร้าบบพี่แพท เหอๆๆ
Wizard Kid: อาวุธประจำตัวที่ผมหมายถึงเนี่ยะ ก็คือ เครื่องมือในการเทรดครับ ยกตัวอย่างเช่น Technical Analysis ถึงแม้คุณจะไม่ใช่คนที่เก่งกราฟ หรือคุณเป็น Value Investor แบบชนิดที่เรียกได้ว่า ชีวิตนี้ชั้นจะซื้อจะขายหุ้นก็ต้องขึ้นอยู่กับงบการเงิน ผลงานของบริษัทหรือแม้กระทั่งชื่อชั้นของผู้บริหารของบริษัทที่คุณต้องการจะถือหุ้นไว้ ผมก็ยังมองว่าการที่มี Technical Analysis เป็นเครื่องมือเสริมในการตัดสินใจ ย่อมจะทำให้คุณได้เข้าไปถือหุ้นในเวลาที่ถูกจังหวะ หรือที่เค้าเรียกว่า Good Timing ปิ้งปลาย่าง ทำนองนั้นครับ
ป๋ากิ้ง: แล้วทำไม Good Timing แล้วต้องปิ้งปลาย่างด้วยฟร่ะ!! ???
Wizard Kid: หุหุ ไม่เกี่ยวกันครับ แค่เห็นมาคล้องจอง ฮ๋าๆๆ
ทุกคน: -_________-’’
Wizard Kid: ไม่กวนติ่งแระครับ ต่อกันเลยดีกว่า ลองคิดดูน่ะครับ ถ้าพี่ๆ ทุกท่านรู้ว่าหุ้น A มันดี มันจะเป็น Super Growth Stock ในอนาคตแน่ๆ แต่จังหวะที่พี่เข้าไปซื้อมันเป็นช่วง Super Peak ของตลาดหรือตลาดที่ใกล้ถึงจุดสุดยอด ยอดสุดแล้วเนี่ยะ (ห้าม! คิดทะลึ่งน่ะครับ เอิ๊กๆๆ) สุดท้าย พี่ก็ต้องอยู่ในภาวะรักชาวเขาขึ้นมาทันทีแน่นอน นั่นก็คือ ติดดอย!! นั่นเองแหล่ะครับ
ภาววิทย์: อ้าว แบบนี้มันหยามสไตล์เทรดแบบผมนี่ น้องพีร์!! พูดให้เคลียร์ๆ!!
Wizard Kid: ไม่ใช่แบบนั้นครับพี่แพท ใจเย็นๆ ใจร่มๆ ห่มผ้าหนาๆก่อนครับ
คือ ผมว่าถ้าเรามีเครื่องมือในการดูจังหวะที่เข้าซื้อขายเนี่ยะ ต่อให้เป็นหุ้นดีขนาดไหน จะถือได้เป็น 10 ปีหรือมากกว่านั้น ราคาที่เข้าซื้อก็มีผลต่อจิตวิทยาอยู่ดี เช่น พี่บอกว่า PTT กับ BANPU คือสุดยอดหุ้นของเมืองไทย แต่ถ้าพี่เข้าไปซื้อเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว แถวๆราคา 500 – 700 บาทต่อหุ้นเนี่ยะ... แล้วเจอเปรี้ยงเดียว! กับวิกฤติเศรษฐกิจที่ผ่านมา ราคาหุ้นสองตัวนี้ร่วงดิ่ง ทิ้งแม่ม่ายไปที่ 150 – 180 บาทต่อหุ้น ถามว่าพี่เสียความรู้สึกมั๊ยครับ ถึงแม้ตอนนี้ราคาหุ้นสองตัวนี้กำลังฟื้นตัวมาอย่างร้อนแรง?
ป๋ากิ้ง & ภาววิทย์: ก็....อืม....นิดนึงน่ะ... T___T”
Wizard Kid: นั่นแหล่ะครับ ประเด็นของผมเลย มันเป็น Opportunity Cost ครับ หรือค่าเสียโอกาส โอกาสอะไร? ก็โอกาสในการได้ของดีราคาถูก ได้เพิ่มจำนวนหุ้น ดีกว่าได้ของดีราคาโคตรแพง ต้องนั่งดูเพื่อนๆได้กำไรเพิ่มขึ้นเท่าตัว ในขณะที่ตัวเองได้แต่นั่งดูการกระเตื้องของราคาทีละนิดทีละหน่อยเป็นเวลา 1-2 ปี โดยที่ทำอะไรไม่ได้ เนื่องจากเงินลงทุนแทบทั้งหมด จมอยู่กับหุ้นที่โคตรดี แต่ดันไปได้ในราคาที่โคตรแพง ในภาวะตลาดที่โคตร Peak
ภาววิทย์: เห็นด้วยก๊าบ...T___T”
ป๋ากิ้ง: แล้วน้องพีร์ มีเครื่องมืออะไรมาแนะนำพี่ๆกันบ้างหล่ะ ในฐานะที่เราเป็นแนวอ่านข่าวบ้างนิดหน่อย แต่เน้น technical analysis กับจิตวิทยาการลงทุน
Wizard Kid: ก็ที่ชอบเป็นการส่วนตัวจริงๆ ก็มี Gap Theory และ สามเหลี่ยมทองคำครับ (ตามที่เคยได้เขียนไว้ใน http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=15440 และ http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=15614 ) แล้วก็อาจจะมีเครื่องมือเสริมอื่นๆแล้วแต่ถนัดครับ ไม่ว่าจะเป็น Fibonacci Retracement, MACD, STOCASTIC หรือ RSI ครับ แล้วแต่ความชอบเลยครับ
ภาววิทย์: แล้วหลักในการเลือกเครื่องมือการเทรดนี่ น้องพีร์เลือกยังไง?
Wizard Kid: เลือกไม่อยากเลยครับ เลือกให้เข้ากับสไตล์การเทรดของตัวเอง แล้วก็ไม่จำเป็นต้องไปเล่นตามคนอื่นครับ ช่วงแรกๆอาจจะหาเครื่องมือเทรดที่เหมาะกับสไตล์เทรดตัวเองยากหน่อย อย่างผมก็เล่นไปเรื่อยๆ ทดสอบบ่อยๆ แล้วเอามานั่งดูพร้อมกับตลาดจริงๆเลย กว่าจะเข้าที่เข้าทางก็ประมาณ 2-3 เดือนครับ
ภาววิทย์: นานไปมั๊ยน้อง? บางคนเค้าอาจจะท้อน่ะ บางคนก็คงถอยหนีไปแล้ว
Wizard Kid: นั่นแหล่ะครับคือ จุดอ่อนของนักลงทุนแทบทุกคนก็คือ ไร้ซึ่งความอดทน อะไรที่ต้องการ ต้องได้เดี๋ยวนั้นเลย และไม่ชอบอ่านและศึกษาด้วยตนเอง
ป๋ากิ้ง: เพราะเหตุใดหล่ะ?
Wizard Kid: ผมมองว่าเป็นเพราะนิสัยรักความสบายครับ อะไรที่ลำบากๆเนี่ยะ มักจะไม่ทำหรอกครับ ทั้งๆที่บุคคลที่ประสบความสำเร็จทั้งหลายนั้น แทบทุกคนต้องผ่านช่วงเวลาที่เรียกว่า โคตรลำบาก แถมยังผ่านช่วงเวลาที่ล้มเหลว ล้มแล้วล้มซ้ำ ลุกแทบไม่ขึ้นมาทั้งนั้น แต่เมื่อเค้ายืนได้แล้วเนี่ยะ บุคคลเหล่านั้นมักจะนำช่วงเวลาที่ล้มเหลวผิดพลาดมาเป็นบทเรียนสอนตน และเค้าก็ไม่กลับไปผิดพลาดเช่นนั้นอีกเลยครับ เช่นเดียวกันกับสุดยอดนักลงทุนทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นสาย Value Investor หรือ Day Trading ไม่ใช่ว่านั่งอยู่เฉยๆ แล้วเค้าก็รวยกันเลยน่ะครับ มันต้องผ่านช่วงลองผิดลองถูกกันมาทั้งนั้นครับ เชื่อผมเถอะครับว่า
“การลงทุนที่จะประสบความเร็จนั้น มันก็ไม่ต่างอะไรจากการฝึกว่ายน้ำ คุณอาจจะมีจมน้ำบ้าง สำลักน้ำบ้าง เหนื่อยสายตัวแทบขาดบ้าง แต่เมื่อคุณว่ายได้ ว่ายจนชำนาญแล้วเนี่ยะ คุณก็จะไม่จมอีกแน่นอน”
ผู้ชม: แปะ แปะ แปะ ฮิ้วๆ ฟิ้วๆ ^___^
Wizard Kid: มาต่อกันอีก 2 หัวข้อก่อนพักเบรกน่ะครับ อึดและถึกกับผมต่อน่ะครับ
หลังจากที่พี่ๆ ค้นหาตัวตน ค้นพบตัวเองจนเจอแล้วเนี่ยะ และมั่นใจว่ามีวินัยเทรดที่เพียงพอแล้ว รวมถึงมีเครื่องมือเทรดประจำกายแล้วเนี่ยะ สิ่งสำคัญต่อไปก็คือ การทำ Paper Trading หรือ การจำลองการเทรดกับตลาดจริงครับ
ภาววิทย์: Paper Trading? ยกตัวอย่างมาจิ๊
Wizard Kid: ก็คือการเทรดโดยใช้เงินจำลองนั่นแหล่ะครับพี่ แต่ให้เราจดบันทึกการเทรดของเรา พร้อมทั้งเหตุผลที่เข้าซื้อและขายออก ในแต่ละครั้งไว้ด้วย ทำไปซัก 1-2 เดือน แล้วย้อนกลับมาอ่านเหตุผลทั้งหลายว่า เพราะอะไรคุณถึงทำกำไรได้ เพราะอะไรคุณถึงขาดทุน อาจจะฟังดูงี่เง่าไร้สาระน่ะครับ แต่เชื่อผมเถอะครับว่ามันได้ผลแน่นอน อย่างน้อยก็เป็นการฝึกให้คุณเป็นคนมีเหตุผล ไม่ใช้อารมณ์ในการเทรด
ภาววิทย์: แหล่มและแจ่มไปเลยน้องเอ๊ย!!
Wizard Kid: เรื่องสุดท้ายของสไลด์นี้ก็คือ Money Management ครับ เรื่องนี้เชื่อว่าพี่ๆทุกท่านคงได้ยินกันหูชา อ่านกันจนตาแฉะ จนชุ่มฉ่ำหัวใจกันไปเป็นแถวๆแล้วแน่ๆครับ ทำไมต้อง Money Management ด้วยหล่ะ? ไม่อยากเลยครับ เพราะถ้าคุณรู้ว่า การเล่นแบบไหนต้องใช้เงินเท่าไหร่จึงจะเหมาะสม ต้องมีจุดคัทลอส ตัดขาดทุนเท่าไหร่ คุณถึงจะเจ็บตัวไม่มาก และต้องใส่เงินไปเท่าไหร่ เมื่อหุ้นที่คุณซื้อกำลังมาถูกทาง ของแบบนี้ไม่ได้ฝึกกันง่ายๆน่ะครับ มันต้องผ่านการฝึกฝนทั้งจาก paper trading และประสบการณ์จริงครับ
ป๋ากิ้ง: แล้วมีวิธีอื่นมั๊ยที่จะฝึก Money Management ให้ได้ดีโดยที่ไม่ต้องลงทุนในตลาดหุ้น
No comments:
Post a Comment