ขอมาแนวอินเตอร์หน่อยครับ แบบว่าช่วงนี้กระแสพี่หรั่งมาแรงจริงๆ ซื้อหุ้นติดต่อกันหลายวันจนชักจะสงสัยว่า SET 900 จุด อยู่แค่เอื้อม แหะแหะ
วันนี้ขอนำเอาเพลง ผู้ชนะ ของพี่เสก โลโซ มาประกอบเรื่องที่ผมจะเขียนวันนี้น่ะครับ พอดีมันค่อนข้างจะตรงกันกับชีวิตของผมเลยครับ
http://www.youtube.com/watch?v=X2qzSOwobxQ&feature=player_embedded
เป็นไงกันบ้างครับ ฟังกันแล้ว มีกำลังใจในการสู้ชีวิตบ้างมั๊ยครับ แหะแหะ
บทความวันนี้จะขอต่อเนื่องจากบทความ One Night Stand Discussion #6 (ปฐมบทของพ่อมดน้อย) น่ะครับ อาจจะมีตอนที่ 3 เพื่อให้เป็นอย่างมหากาพย์ไตรภาคอย่าง Lord of the Ring แหะแหะ
วัยเยาว์
ชีวิตของ Wizard Kid นี้ ถือว่าเกิดมาไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรครับ ไม่ต้องทำอะไรก็ได้ครับ พอมีพอกิน ชิวๆตามประสา แต่ว่าเนื่องจากได้ป๊ากับม๊า ที่อยากให้ลูกชายคนเดียวของบ้าน ได้เผชิญกับคำว่า “ความสำเร็จ ไม่ได้มาโดยง่าย ต้องใช้ความพยายามเท่านั้น” ก็เลยจัดส่งให้เจ้าตัวน้อยจอมซนไปประกวด แฟนต้ายมทูต เอ๊ย! ยุวทูต ครับ (เทียบได้กับ AF หรือ The Star รุ่นเด็กได้เลยครับ เหอๆๆ) แล้วก็เกือบจะประสบความสำเร็จครับ แต่พลาดรอบ 10 คนสุดท้าย เจ็บครับเจ็บ!! เจ็บใจที่สุด เจ็บใจและเสียใจครั้งแรกในชีวิต (ตอนนั้นอายุแค่ 6 ขวบเองครับ) ก็เลยสาบานกับตัวเองไว้ว่า
“ชีวิตนี้ ต่อให้ต้องล้มอีกกี่ครั้ง ก็ต้องยืนหยัดให้เป็นผู้ชนะให้ได้”
วัยวุ่น
วัยวุ่นจริงๆครับ วุ่นวาย เรื่องมาก จะเอาอะไรก็ต้องเอาให้ได้ คือพูดง่ายๆครับ ยังไม่รู้จักคุณค่าของเงินเลย ถ้าป๊ากับม๊าไม่ซื้อของที่อยากได้ให้เนี่ยะ มีงอนตุ๊บตะลุ๊บตุ๊บป่องแน่นอนครับ แฮ่ๆ แต่ที่ดูจะเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตครั้งแรกก็คือ โดนส่งไปเรียนโรงเรียนประจำครับ อยู่หอตั้งแต่มัธยมต้นเลย โอ้วแม่เจ้า!! เหตุผลเหรอครับ ง่ายๆ ครับ เพราะป๊ากลัวว่าจะเป็นคนที่ตัดสินใจอะไรด้วยตัวเองไม่เป็น ไม่เด็ดขาด เพราะอาจจะเป็นเพราะเจ้าตี๋น้อยนั้นค่อนข้างกลัวเสด็จแม่ในอัตราสูงสุดครับ เลยเป็นเด็กขาดความมั่นใจในการตัดสินใจ เสด็จเตี่ยเลยจัดส่งไปอยู่หอซะเลย ซึ่งก็ได้ผลเป็นอย่างยิ่งครับ เปลี่ยนเป็นคนละคน แต่ก็ยังเป็นองค์ชายน้อยของที่บ้านเฉกเช่นเดิมครับ
จุดเปลี่ยนที่สุดของชีวิตก็คือ การโดนส่งไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนครับ สรุปคร่าวๆคือ ได้แง่คิดการใช้ชีวิตแบบชาวอเมริกัน ได้รู้จักคุณค่าของเงิน ได้รู้ว่าไม่มีใครรักเราเท่าพ่อแม่เราอีกแล้ว และที่สำคัญคือได้ค้นพบตัวเองครับ!! ที่ว่า....ผม...ชอบ...ผู้....ชาย!!! ว๊ากกกก ฮ่าๆๆ อันนี้ล้อเล่นจริงๆครับ ที่ได้ค้นพบตัวเองจริงๆก็คือ ผมรู้แล้วว่าผมอยากทำงานในสายธุรกิจ อยากเรียนจบเร็วๆ เพื่อที่จะได้เริ่มทำงานหาเงิน เก็บเงินเยอะๆ สร้างครอบครัวของตัวเอง...ก็เพ้อเจ้อไปเรื่อยตามประสาหนุ่มช่างฝันแหล่ะครับ แต่ก็ได้ข้อคิดที่ว่า
“เงินทองเป็นของมีค่า ได้มาก็ใช่ว่าจะอยู่กับเราตลอดไป ถ้าไม่รู้จักอดออม”
วัยมหาลุย
วัยนี้เป็นวัยที่ลุยจริงๆครับ ดันหาเรื่องมาเรียนมหาลัยอินเตอร์ เรียนก็หนัก งานก็เยอะ กิจกรรมก็แยะ แต่ก็สนุกสุดๆครับ ที่สำคัญผมได้เจอะเจอกลุ่มเพื่อนซี้ของผมที่ชักชวนผมให้มาสนใจการลงทุนใน ตลาดหุ้นและตลาดทองคำแท่งครับ โดยเฉพาะช่วงปลายปี 3 ย่างต้นปี 4 ครับ เหมือนพวกเด็กเห่อของใหม่เลยครับ มานั่งใต้ตึกมหาลัยตั้งแต่เย็นยันดึก เพื่อที่จะมาศึกษาการวิ่งของค่าเงิน ตลาดทองคำ รวมไปถึงตลาดหุ้นเมืองนอกครับ ถือว่าเป็นก้าวแรกสู่สังเวียนตลาดการลงทุนของผมจริงๆครับ
ข้อคิดในวัยนี้ที่ผมได้ก็จะประมาณว่า
“ไม่มีคำว่าผิดหรือโง่ ในพจนานุกรมของมือใหม่
หากแต่คุณจะผิดและโง่ ถ้าไม่ได้เริ่มเป็นมือใหม่ซะที”
หากแต่คุณจะผิดและโง่ ถ้าไม่ได้เริ่มเป็นมือใหม่ซะที”
วัยทำเงิน
ผมได้งานในสายธนาคารให้กับหนึ่งในธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของเมืองไทย ตั้งแต่ 2 เดือนก่อนจบครับ ตอนนี้นี่ รู้สึกว่าโคตรเท่ห์ โคตรเก่งเลยเว้ยเฮ้ย จบปุ๊บมีงานทำปั๊บ (ช่วงนั้นตลาดโลกเริ่มเกิด sub-prime crisis แล้วด้วยครับ) แต่ปัญหาก็เริ่มเกิดคือ รู้ตัวเองว่างานที่ทำไม่ใช่งานที่ชอบ ส่วนงานที่ชอบก็อยากทำ สุดท้ายก็เลยตัดสินใจลาออกหลังจากทำงานได 5 เดือนครับ แล้วหันไปทำงานสายตลาดหุ้นเป็นเจ้าหน้าที่การตลาดหรือโบรกเกอร์ที่คุณๆ รู้จักนั่นแหล่ะครับ ตอนนั้นนี่บ้านผมนี่แทบแตก โดนพ่อแม่พี่น้อง ญาติสนิทมิตรสหาย ถล่มยิ่งกว่าคลื่นสึนามีซัดพาเลย...
“ลูกคนนี้มันใจร้อน ทำงานได้แป๊บเดียวก็เบื่อ แล้วจะไหวเร้อ”
“ทำงานตลาดหุ้น ไม่มั่นคงหรอก มันเสี่ยงน่ะ”
“เรามันอารมณ์ร้อน จะรับกับลูกค้าเรื่องมากไหวรึเปล่าก็ไม่รู้”
บลา บลา บลา บลา สารพัดคำติ คำแย้งมาเพียบเลยครับ
สุดท้ายผมก็ใช้เวลาอยู่ 3-4 เดือน เพื่อพิสูจน์ว่าผมคิดไม่ผิด ทีเลือกเดินเส้นทางที่ผมลิขิตเองครับ...เงินเดือนเฉียด 6 หลักครับ!! สำหรับเด็กจบใหม่ได้ไม่นาน มันเป็นอะไรที่สุโค่ย! มากๆ! มันคือความภูมิใจครับที่ทำให้ป๊ากับม๊าภูมิใจได้ T____T น้ำตาไหลแว้ววว แหะแหะ
คืนนี้ขอหยุดไว้แค่นี้ก่อนดีกว่าครับ ไว้มาติดตามตอนจบของเรื่องราวของ Wizard Kid ในวันพรุ่งนี้ครับ ว่าเหตุไฉนจากโบรกเกอร์มือทอง ถึงบ้าบิ่นยอมทิ้งเงินก้อนโต เพื่อไปทำงานที่ไม่มีทางรู้ว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่อย่าง Proprietary Trader ครับ
ถ้าไม่ฉลาดคิดขั้นเทพ หรือคงโง่ขั้นโคม่า? เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ครับ
“..ขอเพียงแค่ฝันให้ไกล แล้วไปให้ถึงที่จุดหมาย
..โปรดจงมั่นใจ ที่ทำลงไปนะถูกแล้ว
..อย่าฟังคำคน อย่าสนใจใคร อย่าเปลี่ยนแนว
..คนแน่แน่ว เท่านั้น ผู้ชนะ”
ราตรีสวัสดิ์ครับ
Wizard Kid (aka.เทรดเดอร์เจ้ากวี)
9 August 2010
23:55 น.
No comments:
Post a Comment